7. หวงสาวใช้
เพ่ยหลันสะดุ้งโหยงเพราะเสียงนั้นดังมาก แม้แต่ท่านอ๋องทั้งสองยังตกใจไปด้วย จนจางเหรินต้องรีบปล่อยมือ เพราะมิอาจเป็นปรปักษ์กันซึ่งหน้าได้
“หานจิ่งข้าสั่งเจ้าว่าอย่างไร” เสียงทุ้มเย็นหันไปตำหนิคนของตน ผู้ใต้บังคับบัญชารีบก้มหน้าสำนึกผิดทันที
“น้องแปดไยต้องกริ้วเพียงนี้ น้องเก้าก็แค่หยอกล้อกับสาวใช้ของเจ้าเล็กน้อย มิเห็นต้องแสดงท่าทีเช่นนี้เลย” อ๋องเจ็ดบอกกล่าวอนุชาต่างมารดา
“เพ่ยหลันเป็นคนของข้าอย่ามาทำลุ่มล่ามกับนาง” เสียงกดต่ำเปล่งดังพอให้อีกฝ่ายชะงัก สายตาก็ดุเอาเรื่อง ทำเอาสองพี่น้องถึงกับขบกรามจนแก้มขึ้นเป็นสันนูน
“กลับ!!” เอ่ยพร้อมกับหันมาคว้าเอาแขนเล็กให้เดินตาม เพ่ยหลันก้าวเท้าแทบจะวิ่ง เพราะผู้เป็นนายนั้นขายาวกว่านางจึงต้องสาวเท้าให้เร็วขึ้น
“นี่ท่านอ๋อง ช้าลงหน่อยได้หรือไม่เพคะ จวนไม่หนีหายไปไหนหรอกน่า” ท้วงเขาออกมาทันที เพราะรู้ว่าระยะทางอีกไกลกว่าจะพ้นกำแพงวัง นางต้องเหนื่อยจนลิ้นห้อยเป็นแน่ ถ้าขืนเขายังพาเดินเช่นนี้..ปึก!
“อ๊ะ!..โอ๊ย! เจ็บนะ จะหยุดทำไมไม่บอก” เสียงตำหนิดังขึ้นเพราะลืมตัว มือเล็กรีบยกขึ้นปิดปากตนเอาไว้ทันที พร้อมกับยิ้มแหยส่งให้ผู้เป็นนาย ซึ่งหันกลับมามองด้วยสายตาขุ่นเคือง นางกะพริบตาถี่มองเขา
“ขะ ขออภัยเพคะ” ว่าพร้อมกับย่อตัว แม้แขนจะยังอยู่ในเงื้อมมือของท่านอ๋องก็เถอะ
“กลับไปข้าจะชำระความกับเจ้า” เสียงเย็นเปล่งออกมาขู่สาวใช้ตัวน้อย ใบหน้างามงอง้ำพร้อมกับยู่ปาก เป็นเหตุให้ผู้เป็นนายอดมิได้ ดึงริมฝีปากอิ่มที่มันยื่นเพราะหมั่นเขี้ยว “ทำไม ข้าเป็นนายจะทำเช่นใดก็ได้” อ๋องหนุ่มเอ่ยกับนางพร้อมกับยักคิ้วใส่ จนเพ่ยหลันอดหมั่นไส้มิได้ แต่จู่ๆ นางก็ถูกลากเดินไปอีกครั้ง เพราะสองอ๋องกำลังมา
รถม้าจวนอ๋องแปดเคลื่อนตัวออกไปแล้ว โดยมีสายตาของสองพี่น้องมองตาม จางเหรินขบกรามแน่น เขาเกือบจะชักจูงเพ่ยหลันได้อีกครั้งแล้วแท้ๆ แต่พระเชษฐากลับมาขัดจังหวะเสียได้ “เจ็บใจนัก”
“ใจเย็นเถอะ โอกาสยังมีอีกมาก อย่างไรเสียนางก็มีใจให้เจ้า อีกไม่นานก็ต้องมาแน่” ฟูหรงตบบ่าอนุชาเบาๆ “แต่นางเป็นแค่สาวใช้จริงหรือ ผิวพรรณหน้าตางดงามเพียงนี้ มิน่าจะเป็นแค่บ่าวในจวนอ๋องเลยนะ” ผู้พี่เอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัย จางเหรินจึงเล่าเรื่องของเพ่ยหลันให้ฟัง ในขณะที่นั่งรถม้ากลับจวนของตน
“นางเป็นเด็กกำพร้า พ่อบ้านเฉิงรับมาเลี้ยงตั้งแต่สิบขวบ จากนั้นก็อาศัยอยู่ที่เรือนหลัง เมื่อนางอายุสิบสี่ข้าเลยส่งให้ไปอยู่ที่จวนพี่แปดเพื่อเป็นสาย อาศัยความรักที่นางมีให้ เพ่ยหลันจึงคอยส่งข่าวให้มิขาด มาห่างหายไปก็ตอนที่นางตกน้ำนี่แหละ” เอ่ยบอกตามจริง ในหัวเขายังคงมีภาพของเพ่ยหลันยามที่ได้สบตากับนางวนเวียนอยู่
“หึ! ก็เป็นคนของเจ้ามิใช่หรือที่ทำให้นางตกน้ำ มาถึงยามนี้เสียใจหรือไม่ สตรีน่ารังเกียจกลับกลายเป็นสาวงาม ซ้ำยังเป็นที่หวงแหนของเจ้าแปดอีก”
“ตายก็ดี มิตายก็ดี ทุกอย่างล้วนแต่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น นางมีใจรักต่อข้าอย่างไรเสียก็ไปไหนมิพ้นแน่” จางเหรินเอ่ยมั่นใจ เพราะเพ่ยหลันเติบโตมาในจวนของตน นางรักฝังใจต่อเขามิมีทางเป็นอื่นไปได้
จวนอ๋องแปด
เพ่ยหลันเหลือบมองใบหน้าบูดบึ้งของผู้เป็นนายเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันหนีไปทางอื่น เพราะเกรงจะถูกเขาตำหนิอีก “เป็นใบโพล่าหรือเปล่าอีตาอ๋องคนนี้ ทำหน้าอย่างกับผู้หญิงเป็นเม็น” ก้มหน้านึกในใจ
“จากนี้ห้ามเจ้าพบกับจางเหรินอีก” เสียงกดต่ำดังขึ้น คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที เพ่ยหลันเงยหน้ามองผู้เป็นนายเล็กน้อย จู่ๆ ก็ออกคำสั่งเช่นนี้ได้
“แล้วถ้าอ๋องเก้ามาหาหม่อมฉันเองล่ะเพคะ”
คำถามนี้ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ขุ่นมัวของโจวสุ่ย มือแกร่งคว้าเอาแขนเล็กซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจนนางต้องลุกตามแรงดึงอันแข็งแรง นางเซถลานั่งลงบนตักของผู้เป็นนายทันที ยิ้มร้ายเผยออกมา พร้อมกับกระชับอ้อมแขนของตนเพื่อรัดเอาสาวใช้แนบตัว
“หากมีบุรุษใดเข้าหาเจ้า โดยเฉพาะจางเหริน เจ้าก็ต้องหาทางหลบเลี่ยงให้ได้ อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้แม้เพียงนิด” กำชับเสียงนุ่มแต่แฝงด้วยคำสั่งที่คนฟังต้องกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ไม่รู้เป็นเพราะคำพูดหรือการกระทำของเขาที่ทำให้นางรู้สึกกลัว จนนั่งตัวลีบในอ้อมกอดของอีกฝ่าย
“เอ่อ..ทะ.ท่านอ๋องปล่อยก่อนเถอะเพคะ หม่อมฉันเป็นบ่าวรับใช้ ทำเช่นนี้มิเหมาะนะเพคะ” ท้วงเขาเสียงเบา เพราะผู้เป็นนายมิมีทีท่าจะปล่อยเลย
“ข้าก็แค่จะสั่งสอนเจ้าเท่านั้น หากคิดจะขัดคำสั่งข้า เจ้าจะโดนมากกว่านี้เพ่ยหลัน” เอ่ยจบก็ดันร่างเล็กออกห่าง ทำให้สาวใช้ตัวน้อยทรุดลงบนพื้นรถม้า
“อ๊ะ!” เสียงร้องเพราะถูกผลักจนก้นกระแทกดังขึ้น ทำเอาอ๋องหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี มือเรียวยื่นออกไปหมายจะพยุงนางขึ้น แต่พอนึกได้ก็รีบถดกลับมา นั่งมองอีกฝ่ายขยับไปนั่งข้างทางออกราวกับตื่นกลัวเขาหนักหนา
โจวสุ่ยกำมือแน่น นัยน์ตาคมก็ยังคงจ้องมองร่างเล็กที่ไม่ยอมหันมาสบตา “ข้าทำเกินไปกระนั้นหรือ” เขาตำหนิตนเองในใจ แต่อ๋องหนุ่มก็ปากหนักเกินที่จะเอ่ยคำขอโทษกับสาวใช้ในปกครอง จึงได้แต่นั่งเสียใจอยู่เงียบๆ
“คนใจร้ายทิ้งลงมาได้” แม้จะบ่นถึงเรื่องนี้ แต่ในใจกลับนึกถึงสัมผัสของผู้เป็นนายเมื่อครู่ ที่ไม่กล้าเงยหน้ากลับมามองก็เพราะกระดากอายที่อยู่ในอ้อมกอดเขา แม้ในยุคปัจจุบันนางจะอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยคบใคร เพราะมีนิสัยห้าวๆ ไม่สนใจเรื่องความรักเรียนอย่างเดียวจนจบก็เอาแต่รักษาคนไข้
“ถึงแล้ว จะนั่งขดอีกนานแค่ไหน ข้าจะลงจากรถม้า ขวางทางอยู่ได้” เสียงตำหนิดังขึ้นอีกรอบ
เพ่ยหลันรีบขยับกายถดขาให้พ้นทางผู้เป็นนาย โจวสุ่ยเหลือบมองเล็กน้อย ใจเขากระตุกเมื่อเห็นท่าทางของนาง มือเรียวจึงรั้งเอาแขนเล็กให้ลุกตามมา จนทั้งคู่ลงจากรถม้าเป็นที่เรียบร้อย “ข้าอยากกินไก่ผัดเม็ดมะม่วง” เอ่ยบอกเพียงแค่นั้นก็เดินเข้าด้านใน
“ชิ! ดีแต่ออกคำสั่ง” บ่นอีกฝ่ายเบาๆ ถึงกระนั้นก็ยังมีหานจิ่งได้ยิน เขาส่ายหัวกับนิสัยที่ต่างออกไปจากแต่ก่อนของนาง แล้วพยักหน้าให้โดยมิได้ตำหนิอันใด
“ทำเผื่อข้าด้วยนะเพ่ยหลัน” หยางลู่ที่กลับมาจากเอารถม้าไปเก็บที่เรือนพัก เอ่ยบอกกับสาวใช้ตัวน้อย ทั้งสามจึงเดินเข้าด้านในก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน
“เพ่ยหลันในวังเป็นเช่นใดบ้าง ได้ยินว่านางในมีแต่ผู้งามๆ ใช้หรือไม่” หรานเอ๋อถามทันทีในขณะที่เข้ามาช่วยเป็นลูกมือให้รุ่นน้องเช่นเคยยามที่เพ่ยหลันเข้าครัว
“งามมาก ดูท่าคงถูกคัดสรรมาอย่างดี” บอกอย่างที่เห็น แม้ยามนั้นจะนั่งอยู่ในสวนด้านนอกก็เถอะ
“น่าจะใช่นะ ได้ยินว่าพวกนางเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นบุตรสาวของผู้มั่งมีในเมืองและต่างเมือง บางคนก็เป็นบุตรสาวขุนนาง เพราะภายหน้าหากต้องตาราชนิกูลก็จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นสนมรับใช้ บางคนได้เป็นถึงกุ้ยเฟยก็มี หากฝ่าบาททรงพอพระทัย” หรานเอ๋อเอ่ยอย่างเพ้อฝัน
“หึหึ ดูเหมือนพี่จะรู้เรื่องดีนะ” คนน้องกล่าวพร้อมกับผัดอาหารในกระทะที่ผู้เป็นนายสั่ง
“ใครจะเหมือนเจ้ากันล่ะ เฉยชากับทุกเรื่อง ก่อนนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นเช่นนี้เลย เอ่ยถึงแต่ท่านอ๋องเก้าตลอด ตั้งแต่ตกน้ำไป ดูท่าความรู้สึกเจ้าคงมลายหายไปกับน้ำด้วยกระมัง” อีกฝ่ายเย้าอย่างเอ็นดู เพราะมิรู้ว่าคนตรงหน้ามิใช่คนเดิมอีกแล้ว ทำให้เพ่ยหลันเกิดความสนใจขึ้นมา
“จริงหรือ? ข้าเคยปลื้มอ๋องเก้าเพียงนั้นเชียว”
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าน่ะ วันๆ เอาแต่เอ่ยถึงท่าทางสง่างามของอ๋องเก้ามีใครบ้างที่ไม่รู้” เอ่ยบอกพร้อมกับยื่นจานให้ ซึ่งเพ่ยหลันกำลังยกกระทะออกจากเตา
“เอ๋! แล้วข้ามิเคยเอ่ยถึงอ๋องแปดหรือ เขาก็ดูรูปงามมิแพ้กันนะดูน่าเกรงขามดีออก” เอ่ยอย่างที่คิด พร้อมกับเทอาหารใส่จาน ปากก็ขยับไม่หยุด
“มิเคย ท่านอ๋องของเราก็มิค่อยได้อยู่จวนด้วย เอาแต่ออกรบ หากสงครามมิจบก็มิกลับมา”
เพ่ยหลันตาโตทันที เคยได้ยินว่ายุคโบราณมักทำศึกแย่งชิงแผนดินกัน บางครั้งนานนับสามสี่ปี กว่าจะเอาชนะได้ คนที่ถูกกล่าวถึงหนึ่งในนั้นก็คือท่านอ๋องฟานโจวสุ่ยผู้นี้ แต่นางมิได้ใส่ใจเรื่องประวัติศาสตร์นักรู้แค่บางช่วง
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” เปล่งเสียงเบาออกมา แต่ในหัวยังคงสงสัยบางสิ่ง เพราะท่าทางของอ๋องเก้าดูเป็นห่วงเป็นใยเจ้าของร่าง ราวกับเคยรู้จักกันมานาน “แล้วข้าเคยพบกับอ๋องเก้าหรือไม่” ถามอีกครั้งเพราะอยากรู้เกี่ยวกับภูมิหลังของผู้ที่ตนอาศัยร่าง นางยังมิอาจรู้ได้ว่าผู้ใดดีหรือชั่ว การรักษาที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนก็ยังถูกปิดเป็นความลับ มิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าเป็นนางที่ทำให้ท่านอ๋องกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม จำสิ่งใดมิได้แล้วก็ควรจะลืมไปเสีย ข้ามิอนุญาตให้เจ้ายุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้อีก” เสียงเรียบเย็นเปล่งออกมาจากผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตู พร้อมกับสายตาคมดุจ้องมองมา ใบหน้านั้นบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรของเขาอีกเนี่ยะ จะตามตอแยทำไมนัก ย้ำอยู่ได้เรื่องอ๋องเก้า เป็นศัตรูกันหรือไง” สาวใช้ตัวน้อยได้แต่ยืนคิดในใจ ทว่าไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมาให้เขาเห็น
“ทำเสร็จก็ยกอาหารไปเถอะ ท่านอ๋องหิวแล้ว” หานจิ่งเอ่ยขัด เพราะดูเหมือนภายในครัวจะเริ่มตึงเครียดอีกแล้ว