5. คนก็ประหลาด อาหารก็ประหลาด
“ปกติเจ้าทำอาหารหรือเป็นแค่ผู้ช่วย” ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดที่หน้าเตา ซึ่งมันอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในกะทะ คิ้วเรียวย่นเข้าหากันทันที พอเพ่ยหลันเห็นสีหน้าของเขาก็ตอบออกไปไขความสงสัย
“ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าเห็นมีวัตถุดิบครบก็เลยทำ” ตอบออกไปเสียงเรียบ ทำให้เสียงตำหนิลอยมาจากด้านหลัง
“เพ่ยหลัน ถึงเจ้าจะเป็นคนช่วยชีวิตท่านอ๋อง แต่ก็ไม่มีสิทธิ์พูดจาไร้มารยาทเช่นนี้กับพระองค์นะ” หยางลู่เอ่ยเตือนทันที เพราะได้ยินหลายคราแล้วที่นางเปล่งวาจาเช่นนี้
คนถูกดุถึงกับหน้าเสีย เพราะมันจริงอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ย นิสัยของจางลู่ซิงนางเป็นคนไม่ยอมใคร และที่สำคัญครอบครัวรวยมากไม่เคยต้องใช้ชีวิตลำบาก แต่มาตอนนี้นางกลับกลายเป็นสาวใช้ในจวนอ๋อง ทำให้ผู้ที่มาจากยุคอื่นไม่ชินกับการก้มหัวให้ใคร
“แย่ล่ะ คงไม่ถูกประหารหรอกนะ ก็ปกติไม่มีใครบอกว่าให้พูดยังไงนี่หน่า หรือต้องพูดเหมือนในซีรี่ย์” นึกในใจก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองผู้ที่ยืนจ้องอยู่ตรงหน้า
“กะทะจะไหม้แล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยเตือน เพ่ยหลันก้มลงมองก่อนจะตาโต รีบหาผ้าจับหูกะทะยกขึ้น เทอาหารใส่จานที่เตรียมเอาไว้ เพราะมันเกือบจะไหม้อย่างที่ท่านอ๋องเอ่ย โจสุ่ยเดินเข้ามาสูดกลิ่นไออันหอมกรุ่น มือเรียวหยิบตะเกียบที่วางอยู่มิไกลคีบอาหารใส่ปากโดยไม่เอ่ยสิ่งใดกับผู้ที่ทำ เพ่ยหลันมองเขานิ่งพร้อมกับย่นคิ้วรอดู
“อร่อย ข้าไม่เคยเห็นอาหารเช่นนี้มาก่อน เจ้าไปเรียนมาจากที่ใด” ถ้อยคำเรียบเปล่งออกมา แต่มือก็ยังจับตะเกียบคีบชิ้นไก่กิน จนคนสนิทต่างก็พากันกลืนน้้ำลายตาม เพราะดูเหมือนอาหารเหล่านี้จะถูกปากมาก
“เป็นอาหารจากชนชาติอื่น..เอ่อ..เพคะ” เพราะรู้ตัวว่าก่อนนี้ทำไม่ถูก นางจึงพยายามปรับเปลี่ยนตนเองใหม่ เพื่อเอาตัวรอดไม่ให้ถูกโบยเหมือนที่เคยเรียนมา
โจสุ่ยหันกลับมามองใบหน้าของสตรีตัวน้อยอีกครั้ง ความสงสัยมีมากแต่เขาก็ไม่คิดจะคาดคั้นเอาในยามนี้ เพราะอย่างไรเสียนางก็ต้องอยู่ที่นี่
“เรื่องคนงานอีกสองวันก็จะเข้ามา งานทำความสะอาดเจ้ากับหรานเอ๋อไม่ต้องทำ คอยดูแลแค่เรื่องอาหารและดูแลข้าก็พอ” เสียงกดต่ำเปล่งออกมา ทำเอาคนฟังถึงกับขนลุก แม้มันจะดูราบเรียบก็เถอะ
“เพคะ” เพราะไม่กล้าต่อกรกับอีกฝ่ายจึงรับปากสั้นๆ โจวสุ่ยยกยิ้มมองท่าทางเกร็งของสาวใช้ ใบหน้านี้ยังคงมีบางสิ่งพอกอยู่บนหน้า ดีที่นางมิได้ทาทั้งหมด มีแค่ตรงรอยตุ่มแดง ซึ่งยามนี้มันยุบลงมากแล้ว
“ทำเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง แล้วยกไปที่ห้องทานอาหารของข้า พวกเจ้าไปกินด้วยกัน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” อ๋องแปดออกคำสั่ง ทำเอาเพ่ยหลันและหรานเอ๋อที่พึ่งเดินเข้ามาถึงกับตาโต เพราะผู้เป็นนายต้องการให้ร่วมโต๊ะด้วย
“เพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสี่รับคำ
ก่อนที่คนสนิททั้งสองจะเดินตามผู้เป็นนายออกไป ทิ้งให้สตรีสองนางช่วยกันทำอาหารเพิ่มอย่างที่ท่านอ๋องสั่ง
เมื่ออยู่กันตามลำพัง เพ่ยหลันก็เริ่มลงมือทำอาหารตามคำสั่ง ในใจก็นึกถึงคำตำหนิของหยางลู่ “จากนี้เราคงต้องฝึกพูดใหม่แล้ว ยุคนี้ถือเรื่องศักดินามาก ถ้าล่วงเกินราชนิกูลมีหวังหัวหลุดจากบ่าแน่” มัวแต่คิดถึงเรื่องมารยาทและการวางตัว จึงไม่ได้ยินหรานเอ๋อเอ่ย
“เพ่ยหลัน! คิดสิ่งใดอยู่ ข้าถามเจ้ามิได้ยินหรือ สิ่งนี้คืออะไร ไยน่าตาดูประหลาดนักมันกินได้แน่หรือ” คนไม่เคยเห็นอาหารไทยถึงกับงง เพราะสาวใช้รุ่นน้องทำอาหารแต่ละอย่างน่าตาประหลาดนัก
“ต้มจืดเต้าหู้ไข่ มันทำมาจากไข่และนม ส่วนนี่ก็แพนงหมูรสชาติจะเผ็ดเล็กน้อย ทุกคนน่าจะทานได้แหละ”
“ข้าไม่คุ้นกับอาหารที่เจ้าเอ่ยมาเลยสักนิด” คนพี่เอ่ยอย่างที่คิด เพ่ยหลันจึงยิ้มกับท่าทางประหลาดใจของอีกฝ่าย จะไม่ให้สงสัยก็คงไม่ได้
เพราะของกินตรงหน้าที่ทำทั้งหมดนี้มันคืออาหารไทย เป็นที่นิยมในยุคปัจจุบัน ตัวนางเป็นลูกเสี้ยวครึ่งไทยจีนอิตาลี แต่ใช้ชีวิตอยู่ที่จีนตั้งแต่เกิด แต่ก็ซึมซับเรื่องทำอาหารมาจากแม่ นางเปิดร้านอาหารไทยมานานกว่าสามปี นึกถึงตรงนี้ก็อดเศร้าไม่ได้ เพราะนางคงมิอาจกลับไปได้อีกแล้ว จากนี้คงต้องติดอยู่ที่นี่จนตายแน่
“จะคุ้นได้ไง มันเป็นอาหารจากชาติอื่น เอาเถอะกินแล้วไม่ตายก็น่าจะพอนะ” คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้หรานเอ๋อเป็นงง ได้แต่ช่วยคนน้องหยิบจับเครื่องปรุง
หลังจากทำเสร็จทั้งสองก็ยกไปตั้งสำรับที่ห้องรับอาหาร ซึ่งมีเจ้าของจวนและคนสนิท รวมถึงใต้เท้าหนุ่มสหายท่านอ๋อง และบุรุษรูปงามแปลกหน้าอีกสองคนแต่หนึ่งในนั้นแต่งกายดูดีมาก
“ใครอีกล่ะ แค่ในจวนก็รับมือไม่ไหวแล้วขอเวลาปรับตัวก่อนไม่ได้เหรอ” นึกในใจพร้อมกับเหลือบตามอง ทำเอาโจวสุ่ยนึกขันกับท่าทีของนางมิน้อยแต่ก็มิได้แสดงออกมา
“นี่คือเสด็จพี่ของข้า อ๋องห้า นามว่าฟูหรง” คำแนะนำนี้บอกผ่านมายังสตรีตัวน้อยที่ยืนก้มหน้าอยู่ แต่เพ่ยหลันนั้นมิได้ใส่ใจ จึงมิรู้ว่าผู้เป็นนายเอ่ยกับตน จนกระทั่งหรานเอ๋อใช้แขนศอกสะกิด นางจึงเงยหน้าขึ้นมองไล่ไปทีละคนพร้อมกับย่นคิ้ว
“เจ้ารีบคำนับอ๋องห้าสิ” เสียงเตือนดังขึ้นข้างกาย
“ทะ..ทำยังไงล่ะ ข้าทำไม่เป็นนี่” เอ่ยบอกอย่างที่เป็น ถึงจะเคยดูซีรี่ย์มาหลายเรื่อง แต่ว่ามันก็การันตีไม่ได้นี่หน่าว่าจะถูกต้องหรือเปล่า เลยได้แต่ยืนยิ้มแห้ง
“ยกมือขึ้นประสานกันแล้วย่อตัวลงแค่นั้นแหละ” เสียงทุ้มของประมุขจวนดังขึ้น เพ่ยหลันรีบทำตามอย่างว่าง่าย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกหรือผิด แต่ก็ทำไปก่อน
“เป็นสาวใช้ในจวนท่านอ๋องจริงหรือ ไยเจ้ามิรู้มารยาทเอาเสียเลย ต้องให้นายเป็นผู้สอน” เสียงจากคนสนิทอ๋องห้าเอ่ยตำหนิ ทำเอาเพ่ยหลันถึงกับหน้าถอดสี ในใจก็อยากจะตอบกลับนั่นแหละ แต่ก็จำต้องข่มอารมณ์เอาไว้
“เย็นไว้ลู่ซิงที่นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ห้ามต่อกรกับผู้มีอำนาจบารมีเด็ดขาด” เตือนสติตนในใจ พร้อมกับก้มหน้าสำนึกผิด ทำเอาโจวสุ่ยอดยิ้มเอ็นดูนางมิได้
เพราะอ๋องหนุ่มรับรู้ถึงตัวตนสตรีผู้นี้ ในยามที่ทุกคนคิดว่าเขามิได้สติ แต่แท้ที่จริงรับรู้ทุกอย่างและได้ยินทุกคำ เพียงแต่บางประโยคไม่เข้าใจ แต่ก็พอจับใจความคำพูดของสาวใช้ผู้นี้ได้ โดยเฉพาะถ้อยคำที่ว่า “ทำไมเราไม่เกิดใหม่เป็นชายาเหมือนในนิยายนะ ดันมาอยู่ในร่างของสาวใช้เสียได้ แบบนี้ก็ถูกข่มเหงแยกชนชั้นเหมือนในประวัติศาสตร์ที่เรียนมาน่ะสิ” มันยังติดอยู่ในหัวเขา
“เอาเถอะ อย่าได้ตำหนินางอีกเลย เพ่ยหลันอยู่แต่ในครัว มิค่อยได้ออกมาข้างนอกนักจึงมิรู้มารยาท” ถ้อยคำของอ๋องแปดฟังดูเหมือนจะแก้ต่างให้ แต่ถ้าฟังดีๆ เขาก็ต่อว่านางอยู่กลายๆ จนเพ่ยหลันเหลือบตามองอย่างลืมตัว
“หึ! ดูท่าคงอยากจะขย้ำข้าเต็มที” อ๋องหนุ่มนึกในใจ พร้อมกับยกยิ้มเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้
“อาหารจะเย็นชืดหมดแล้ว ท่านอ๋องเสวยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวหมอหลวงจะมาตรวจอาการ” หยางลู่เอ่ย
“มีหมอเทวดาอยู่แล้วไยต้องให้หมอหลวงมาตรวจอีก มิต้องรบกวนผู้อื่น ข้าจะให้เพ่ยหลันรักษาต่อ” โจวสุ่ยบอกเสียงเย็น จนคนสนิทถึงกับหน้าถอดสี
“พี่แค่จะมาดูอาการเจ้า พูดได้ขนาดนี้คงหายดีแล้วกระมัง เช่นนั้นพี่จะได้เดินทางอย่างสบายใจเสียที”
โจวสุ่ยเงยหน้ามองพระเชษฐาแล้วเอ่ย “เดินทางปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ ระวังตัวให้มาก หากกระหม่อมแข็งแรงแล้วจะตามไปโดยเร็ว”
“พักให้หายดีเถอะ กลุ่มโจรแค่นี้ไม่ทำให้เสียแรงมากหรอก มีคนของเจ้าไปช่วยด้วย มิมีสิ่งใดน่าห่วงเลย” ผู้พี่บอกอย่างที่คิด แม้โจรภูเขาจะเก่งกาจจนต้องใช้เวลาปราบแรมปี แต่ฟูหรงก็มีฝีมือมากพอ น่าจะสำเร็จได้ง่าย
“อย่างไรก็อย่าประมาทนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้น่า มิต้องย้ำราวกับข้าเป็นเด็กหรอก”
โจวสุ่ยนั่งมองพระเชษฐาเดินออกจากห้องโถงจนกระทั่งพ้นประตูจวน จึงได้หันมาสั่งคนของตนให้นั่งลงทานข้าว แต่สองคนสนิทและหรานเอ๋อก็มิกล้า ต่างจากสตรีตัวน้อยที่รีบหย่อนก้นลงทันที
“เพ่ยหลันนี่เจ้า!!” หยางลู่ยังคงเอ่ยตำหนิ ต่างจากหานจิ่งที่มิเอ่ยสิ่งใดเลย เพราะเขาสำนึกบุญคุณที่นางช่วยชีวิตจนได้มายืนอยู่ที่นี่ แต่สหายนั้นเป็นคนเคร่งครัด ในกฎมาแต่ไหนแต่ไร จึงมิชอบที่เพ่ยหลันทำตัวลุ่มล่าม
“หยางลู่ หากเจ้าไม่กินก็อย่าได้เที่ยวตำหนิผู้อื่น ข้าเป็นคนบอกให้นั่งเอง ไยเจ้าถึงกล้าขัด” เสียงเย็นเปล่งออกมา ทำเอาทั้งสามต่างก็พากันรีบนั่งลง “ยามนี้ในจวนก็มีแค่เรา ไยต้องเรื่องมากกันด้วย ผู้ที่อยู่ตรงนี้ล้วนแต่มีบุญคุณต่อกันทั้งนั้น ต่อไปอย่าให้ข้าได้ยินถ้อยคำเช่นนี้อีก” คำสั่งของอ๋องแปดดังตามมาอีกรอบ
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” สองสหายรับคำ หลังจากนั้นบรรยากาศในการทานอาหารก็ดูวังเวงขึ้นมา
แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่ไม่ได้สนใจสิ่งใด เอาแต่คีบอาหารที่ตนทำใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งมันก็ทำให้อีกสามคนผ่อนคลายลง ยิ่งได้ชิมรสมือของเพ่ยหลัน ทั้งสี่ก็ถึงกับวางตะเกียบไม่ลง จนกระทั่งจานอาหารนั้นมิมีเหลือเลยสักชิ้น
“เพ่ยหลัน ไยเจ้าถึงทำอาหารอร่อยนัก” หรานเอ๋อถามขึ้นหลังจากทานกันเสร็จแล้ว ซึ่งอีกสามคนก็คงอยากรู้เช่นกัน ถึงได้จ้องนางตาไม่กะพริบ
“เอ่อ..เรื่องนี้..ข้าก็เรียนรู้จากพ่อครัวคนก่อนไง” ตอบในสิ่งที่คิดได้ เพราะถ้าบอกความจริงใครมันจะเชื่อกันล่ะ
“แน่ใจหรือ คิดว่าเป็นอาหารจากอีกยุคเสียอีก” โจวสุ่ยเอ่ยพร้อมกับมองใบหน้าสาวใช้ ซึ่งยังมีจุดแต้มสีขาวบนหน้าเช่นทุกวัน แม้ว่ารอยตุ่มแดงจะจางหายไปบ้างแล้ว