บท
ตั้งค่า

4. รู้สึกตัว

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม [2ชั่วโมง] เพ่ยหลันยังคงทำหน้าที่ดูแลอ๋องหนุ่มต่อ แม้จะแปลกใจที่หยางลู่ไม่กลับมาเสียที แต่นางก็เข้าใจว่ากรมพิธีการคงอยู่ไกล จนเวลาผ่านล่วงเลยไปค่อนคืน คนสนิทของอ๋องแปดก็ยังไม่กลับมา

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนของเขาถึงไม่กลับมาสักที” นางยืนเกาะประตูมองออกไปด้านนอก รอคอยผู้ที่ออกไปเอาราชสาส์นที่ว่าอยู่นาน “หรือจะเกิดเรื่องขึ้น คงไม่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้วนะ” เอ่ยถึงตรงนี้นางก็หันกลับมาหาผู้ที่อยู่ในถัง

“ยุคนี้ได้ยินว่าพี่น้องมักเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ คุณคงไม่ได้ถูกญาติพี่น้องจ้องเอาชีวิตใช่ไหม” เอ่ยจบนางก็ตักน้ำสมุนไพรเติมให้เพื่อคงความอุ่นอยู่เสมอ

นางดูแลอีกฝ่ายอย่างดี ทั้งยังลากตั่งนั่งตัวกลมมา ทรุดกายลงข้างถังเพราะเหนื่อยล้าที่ต้องถ่างตาตลอดวันและคืน “ข้าไม่ไหวแล้ว คงต้องนอนพักเสียที”

เพ่ยหลันวางหัวลงที่ขอบถัง โดยใช้แขนตนเองรองไว้ อีกมือก็รั้งคอของอ๋องหนุ่ม เกรงว่าเขาจะไถลลงน้ำในยามที่นางหลับ ซึ่งเสียงของนางผู้ที่อยู่ในถังล้วนแต่ได้ยิน เพียงแต่ยามนี้เขายังมิอาจมีแรงเปิดเปลือกตาขึ้นมาได้ แม้ร่างกายจะรู้สึกดีขึ้นไม่ทรมานเหมือนคราแรก แต่มันยังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับเอาไว้จนมิมีแรง

เช้าของวันใหม่ สตรีตัวน้อยงัวเงียตื่นขึ้นมา แขนเล็กก็ยังคงรั้งอยู่ที่คอของท่านอ๋อง นางอ้าปากหาวตามปกติแต่มันดันอยู่ข้างหูของคนในถัง จู่ๆ เขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาดื้อๆ

“อะไรกัน คนของคุณยังไม่กลับมาอีกเหรอ ไม่ใช่ถูกฆ่าตายไปแล้วจริงๆ หรอกนะ” นางเอ่ยอย่างที่คิด ก่อนจะดึงแขนกลับมาลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียด ร่างเล็กเดินตรงไปล้างหน้าล้างตาตนเอง แล้วเดินกลับมาที่ถังอีกครั้ง

“นี่คุณ รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม ไม่ฟื้นสักทีแบบนี้คนในจวนต้องตายกันหมดนะ” นางเอ่ยถามคนในถังราวกับว่าเขาจะตอบได้ สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจยาว

แต่จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิคุณปู่เคยบอกว่ายุคโบราณผู้คนชอบใช้พิษเป็นอาวุธ ในช่วงห้าร้อยปีต่อจากรัชสมัยนี้เริ่มมีการใช้เข็มบ่งพิษและเป็นที่นิยมมาก แต่เขาเป็นท่านอ๋องถ้าทำแล้วเกิดผิดพลาดเราจะไม่ตายเหรอ” เอ่ยถึงตรงนี้ ผู้ที่มาจากยุคอื่นก็ถอนหายใจอีกรอบ

แต่จู่ๆ คนที่นั่งนิ่งมานานก็เปิดเปลือกตาขึ้น ในใจรู้สึกยินดีที่สามารถมองเห็นอีกครั้ง หลังจากที่เขาหลับไหลมานานนับสิบวันเพราะยามนั้นอาการเริ่มหนักจนมิได้สติ เพ่ยหลันซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาถึงกับยิ้มกว้างส่งให้

“นี่คุณเห็นฉันไหม? แสดงว่าสมุนไพรได้ผล” เพ่ยหลันเอ่ยเสียงปีติยินดีเมื่อเห็นอีกฝ่ายฟื้นแล้ว โจวสุ่ยกะพริบตามองสตรีตัวน้อยพร้อมกับคิ้วที่ผูกกันเป็นปม เพราะใบหน้านี้มีบางสิ่งทาเต็มจนขาววอกยิ่งกว่าตัวละครในคณะงิ้ว เพ่ยหลันหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของเขา

“ไม่ต้องตกใจฉันแค่รักษาสิว ตุ่มแดงที่ขึ้นบนหน้าน่ะ คุณไม่มีแรงพูดใช่ไหม เอางี้นะ ฉัน” เสียงพูดเงียบลง

เพราะนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังเอ่ยถ้อยคำยุคปัจจุบันกับอีกฝ่ายอยู่ จึงได้เปลี่ยนใหม่ “เอ่อ ข้าจะถามท่าน หากใช่หรือตกลงก็กะพริบตาหนึ่งครั้ง หากไม่ใช่ก็กะพริบสองครั้ง ท่านว่าแบบนี้ดีกว่าหรือไม่" ส่งเสียงสดใสใส่อีกฝ่าย

ซึ่งโจวสุ่ยก็กะพริบตาให้หนึ่งครั้ง เพ่ยหลันยิ้มกว้างเมื่อคุยกับเขาเข้าใจ นางจึงเริ่มใช้คำถามกับเขาทันที

“ถ้าข้าจะใช้เข็มบ่งพิษ ท่านจะยินยอมหรือไม่” อ๋องหนุ่มกะพริบตาให้หนึ่งครั้ง เพ่ยหลันจึงยิ้มแหยออกมา

“คือข้าไม่เคยทำหรอกนะ แต่ตำรานี้มีใช้กันแพร่หลายในอีกห้าร้อยปีข้างหน้า เรื่องพวกนี้ข้าเองก็พอเรียนรู้มาบ้าง จุดที่ต้องบ่งพิษออกมีสามแห่ง”

นางหยุดคำพูดลงเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย นึกแปลกใจตนเองเหมือนกัน เหตุใดถึงบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เพราะมันไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย จะมีใครสามารถดึงวิชาแพทย์จากวันข้างหน้ามาใช้ได้กันล่ะ แต่!..โจวสุ่ยกลับกะพริบตาหนึ่งครั้ง สื่อให้รู้ว่าเขายินดีและต้องการฟังต่อ

“หลังจากที่ข้าแทงเข็มลงไป หากสำเร็จท่านจะกระอักเลือดพิษออกมา แต่ถ้าไม่ก็ต้องรอดูผลต่อไป และรอดูว่าคนของท่านจะตามหาสาเหตุของพิษนี้ได้หรือไม่”

เอ่ยจบก็มองใบหน้าซีดของอีกฝ่าย ซึ่งโจวสุ่ยก็กะพริบตาหนึ่งครั้งอีก

 ทำเอาเพ่ยหลันถึงกับยิ้มแห้ง ไม่คิดว่าเขาจะเชื่อใจยอมให้นางเอาเข็มทิ่มง่ายๆ แต่ก็อย่างว่าเจ็บป่วยมานานคงทรมานจนอยากตายแล้วล่ะ ที่สำคัญเขาเป็นนักรบบาดแผลบนตัวน่าจะเจ็บกว่าเข็มทิ่มเป็นไหนๆ

“งั้นข้าจะลงมือเลยนะ” ว่าแล้วร่างเล็กก็เดินไปหยิบห่อเข็มบนโต๊ะ นางเหน็บเอาไว้ที่ขอบเชือกผูกเอว เพราะต้องถอดเสื้อของคนป่วยออก ท่าทางคล่องแคล่วเพราะสัญชาตญาณความเป็นหมอ นางไม่นึกอายอีกฝ่ายเลย แผงอกที่เคยแน่นเต็มเมื่อเดือนก่อน ยามนี้แห้งจนมองเห็นซี่โครงโผล่ออกมา เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก แต่คนที่กำลังทำการรักษากลับมิได้ใส่ใจ มือเล็กหยิบเอาเข็มออกมา นางจิ้มมันลงที่ไหปลาร้าทั้งสองข้าง

ก่อนจะเดินอ้อมมาที่ด้านหลัง แล้วจิ้มเข็มลงไปที่ต้นคอ ไม่กี่อึดใจร่างกายของอ๋องหนุ่มก็สั่นเทา ความทรมานเกาะกินร่างกายจนปั่นป่วน เพ่ยหลันยืนมองท่าทางของเขา รู้สึกสงสารไม่น้อยแต่ก็ต้องรอดูอาการต่อจากนี้ ซึ่งต่อมาโจวสุ่ยก็กระอักเลือดสีดำออกมาผสมกับน้ำในถัง

“ท่านอ๋อง!! เกิดอะไรขึ้นเหตุใดเป็นเช่นนี้” หยางลู่มาถึงพอดี พร้อมกับใต้เท้าเสวียน สหายของอ๋องแปด

“เจ้าทำอันใดท่านอ๋อง” ผู้มาใหม่ตวาดเสียงดัง พร้อมกับชักดาบออกมาจี้คอสตรีตัวน้อย ที่พอกหน้าจนขาววอก

“ยะ..อย่า” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมา ทำให้คนสนิทที่เฝ้าดูแลมานานถึงกับน้ำตาซึม เพราะนี่คือเสียงแรกตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ตั้งแต่ท่านอ๋องล้มป่วยก็ไม่เคยได้ยินอีกเลย

“ข้าแค่ฝังเข็มขับเลือดพิษ เผอิญว่ามันได้ผล พวกท่านก็เข้ามาได้จังหวะเสียจริงนะ อุตส่าห์ช่วยยังจะมาว่าอีก ทิ้งให้ข้าดูแลอยู่คนเดียวมาถึงก็เอาแต่บ่น” เพ่ยหลันร่ายยาวมิเกรงดาบที่จี้อยู่บนคอแม้แต่น้อย

“จริงหรือ?” เสวียนอี้ถามกลับเสียงเบา เพราะยามนี้ได้รับสายตาตำหนิจากสตรีตัวน้อยจนเขารู้สึกผิด

ปากน้อยคว่ำลงพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยหางตา ก่อนจะเดินมาดึงเข็มออกจากตัวของคนป่วย “พาขึ้นจากน้ำเถอะ พิษถูกขับออกบ้างแล้วต่อไปก็แช่แค่วันละหนึ่งหรือสองชั่วยามก็พอ จากนี้ก็ดื่มยาควบคู่ไปด้วยน่าจะดีขึ้น ข้าจะไปรักษาคนรักของหรานเอ๋อ” เอ่ยจบมือเล็กก็เก็บเข็มสอดใส่ช่องตามเดิม นางม้วนห่อผ้าแล้วก็เหน็บที่เอว

ทั้งสามมองตามร่างเล็กเดินออกจากห้อง ท่าทางของเพ่ยหลันนั้นไม่เกรงกลัวผู้ใดแม้แต่น้อย และไม่มีท่าทีอ่อนน้อมอย่างที่สาวใช้พึงกระทำ หากมาได้ยินถ้อยคำของนางก่อนนี้คงหาว่าเป็นคนเสียสติเป็นแน่ มีแค่โจวสุ่ยเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดของนางทุกอย่าง

ห้าวันหลังจากนั้น คนที่นอนเป็นผักลุกไม่ขึ้น ก็สามารถเดินเหินได้ แต่ร่างกายยังต้องพักฟื้นต่อจึงมิได้ออกมานอกห้อง ทว่าข่าวคราวนี้ก็รู้ถึงคนภายนอกแล้ว

ส่วนเพ่ยหลันต้องแอบออกไปรักษาคนป่วยโดยมีเสวียนอี้เป็นผู้อารักขาตามคำสั่งของโจวสุ่ย เพื่อมิให้มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเป็นสาวใช้ของเขาที่ช่วยชีวิตคนในจวนไว้ เกรงว่าผู้ที่ลงมือจะเพ่งเล็งมาที่นาง และถูกหมายหัว

“หากมิได้เจ้าสองคนท่านอ๋องก็คงมิหาย พวกเราก็คงมิได้กินของดีๆ อีก ขอบใจนะ” เสียงสาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำเอาคนที่ถูกชื่นชมถึงกับคว่ำปากใส่ ก่อนนั้นนางยังทำท่ารังเกียจตน กล่าวว่าป่วยเป็นโรคมิต่างจากผู้เป็นนาย

“เจ้ามินึกอายบ้างหรือ ก่อนนี้เจ้ามองข้าราวกับตัวประหลาด แต่ยามนี้กลับเอ่ยวาจาชื่นชม ขอโทษนะ ข้าทนฟังไม่ได้หรอก” เอ่ยจบก็วางตะเกียบลง ร่างเล็กลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องทานอาหารรวมของเหล่าสาวใช้และคนงานของจวนนี้ ซึ่งมีมากกว่าสามสิบคน

แต่ตอนที่ผู้เป็นนายป่วยกลับมิมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ เป็นเหตุให้สองวันต่อมาเมื่ออ๋องแปดอาการดีขึ้น เขาออกคำสั่งขับไล่ทั้งหมดออกไปเหลือไว้แค่หรานเอ๋อและเพ่ยหลัน

“โอ๊ย! จะบ้าตายทำไมเขาไม่เหลือไว้สักสองสามคนนะ จวนออกจะใหญ่โตปานนี้สองคนจะทำความสะอาดยังไงหมด ใจร้ายมาก ใจร้ายจริงๆ” เสียงบ่นดังขึ้นในครัว เพราะตอนนี้เพ่ยหลันต้องลงมือทำอาหารเอง

“เจ้าหมายถึงข้าหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาคนที่กำลังถือไม้พายผัดอาหารในกะทะชะงัก แต่นางก็หาได้กลัวเจ้าของจวนผู้นี้ไม่

“ก็รู้ตัวนี่” ตอบกลับโดยไม่มองว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าเช่นไร นางหันกลับมาสนใจกะทะต่อ โจวสุ่ยยืนมองร่างเล็กโดยไม่ส่งเสียงตำหนิแม้แต่น้อย คนสนิททั้งสองมองด้วยสายตาคมดุ มิพอใจที่นางเอ่ยเช่นนี้ เพราะผู้เป็นนายสูงศักดิ์คนสามัญมิอาจล่วงเกินได้ 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel