3. เพื่อความอยู่รอด
หลังจากไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็หันมาจัดการบาดแผลบนหัว ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับลูกสาวหมอยาชื่อดัง เพราะร่ำเรียนมาสายนี้โดยเฉพาะ พอเรียนจบก็เปิดร้านอาหารและร้านสมุนไพรกิจการตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ สตรีที่อยู่ในร่างนี้จึงรอบรู้การรักษาเป็นอย่างดี
“แบบนี้แกก็กลับไปโลกปัจจุบันไม่ได้แล้วสิ จางลู่ซิง” บอกกับตัวเองเสียงแผ่วเบา ก่อนจะถอนหายใจแรง
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน จวนอ๋องแปดก็ยังคงเงียบเชียบ บ่าวรับใช้ก็เก็บตัวอยู่ในหอนอนของตน เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใด หมดอาลัยตายอยากออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ ยามนี้มีทหารเฝ้ายามอยู่รอบจวนเต็มไปหมด เพราะฮ่องเต้มีรับสั่งมิให้ใครเข้าออก แทนที่จะสั่งประหารตามฏีกาของชาวเมืองที่ส่งเข้ามา รวมถึงเหล่าขุนนางที่พากันเห็นชอบ แม้ก่อนนั้นจะชื่นชมอ๋องแปดมากก็เถอะ
“หรานเอ๋อ ตอนนี้เราถูกขังใช่ไหม” ถ้อยคำในยุคปัจจุบันยังคงเปล่งออกมา คนฟังก็ได้แต่มองด้วยสายตาฉงน แต่ก็พอเข้าใจสิ่งที่นางเอ่ยจึงตอบ
“ใช่ อาหารที่มีก็เหลือน้อยเต็มที หากท่านอ๋องไม่ดีขึ้นเราก็คงต้องอดตาย” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาทำคนฟังหดหู่ยิ่งนัก เพ่ยหลันยิ้มแห้งใส่แล้วนึกในใจ
“เห้อ! อุตส่าห์ได้เกิดใหม่แล้วแท้ๆ ดันจะอดข้าวตายซะได้ แบบนี้จะให้โผล่มาที่นี่ทำไมกัน”
“หากสิ้นท่านอ๋องไปพวกเราคงถูกประหารไปด้วย ชาวเมืองไม่มีทางปล่อยไว้เป็นแน่”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วท่านอ๋องเขาป่วยเป็นอะไร” เมื่อได้ยินเรื่องราวของคนจวนนี้ นางจึงอยากรู้ที่มา
“มิทราบ หมอหลวง หมอชื่อดังในเมืองต่างก็ไม่รู้ว่าล้มป่วยได้อย่างไร ตรวจเช็คอาการก็ไม่รู้สาเหตุ คนรักข้าก็เป็นเช่นกัน ยังมีขุนนางในกรมพิธีการอีกสามคนที่ล้มป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งที่มิได้พบเจอกันแม้แต่น้อย”
คิ้วสวยผูกกันเป็นปม “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ถ้าโรคติดต่อมันก็น่าจะเกิดกับคนในจวนสิเพราะอยู่ใกล้ชิด ทำไมคนที่ไม่เคยพบกลับป่วยเหมือนกันได้ หรือว่าเขาไม่ได้ป่วย แต่เป็นอย่างอื่น” นิ้วเรียวยกขึ้นมาเคาะที่แก้มเบาๆ นางเดินไปมาเพราะกำลังใช้ความคิด
“เพ่ยหลัน ไยท่าทางเจ้าดูประหลาดนัก”
“ฉันขอไปดูคนรักเธอได้หรือเปล่า”
หรานเอ๋อมองหน้าสหายพร้อมกับย่นคิ้วเข้าหากัน “เจ้าหมายถึงพี่หานจิ่งใช่หรือไม่”
“ใช่ ฉันหมายถึงคนรักเธอ” ตอบออกไปก่อนจะยิ้มบางๆ “สงสัยต่อไปต้องหัดพูดคำโบราณแล้ว ไม่งั้นคงกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่นแน่”
“เจ้าไม่กลัวติดโรคหรือ” ถามกลับอย่างกังวล เพราะคนในจวนนี้พากันหลบเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้เรือนพักของหานจิ่ง
“เอ่อ เจ้าก็อยู่กับเขาทุกวันไม่ใช่หรือ ก็ยังไม่เห็นป่วยเลย เพราะฉะนั้นมันคงไม่ใช่โรคติดต่อหรอก”
นางพยายามเอ่ยช้าๆ ทีละคำ ให้เหมือนกับที่อีกฝ่ายมักพูดคุยด้วย ต่อไปจะได้ชินกับสำเนียงการพูด
“หากเจ้าไม่รังเกียจข้าจะพาไป” ว่าแล้วหรานเอ๋อก็ลุกขึ้นเดินนำสหายรุ่นน้องไปยังเรือนพักของคนรัก
ดวงตากลมสอดส่องบริเวณโดยรอบ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าประตูเรือนหลังหนึ่ง ทั้งคู่เดินเข้าไปด้านใน บนเตียงกว้างมีร่างสูงเจ้าของห้องนอนนิ่งอยู่ เพ่ยหลันมองผู้ป่วยที่ดูเหมือนนอนหลับพักผ่อนมากกว่า นางนั่งลงและจับชีพจรเขาเพื่อตรวจดู หรานเอ๋อมองอย่างสงสัย
“เพ่ยหลันเจ้าเรียนรู้การตรวจชีพจรด้วยหรือ”
“อืม คนรักเจ้าดูเหมือนจะไม่ได้ป่วย อาจจะถูกพิษ”
“จับแค่นี้เจ้าก็รู้หรือ” ถามทันทีเพราะมีหมอมาตรวจมากมายก็ยังไม่มีผู้ใดเอ่ยเช่นนี้
“เจ้าพอจะจัดหาอุปกรณ์ฝังเข็มให้ได้หรือไม่”
“ได้ๆ ยามนี้ขอแค่มีหนทาง ข้าจะรีบจัดการให้ เจ้ารอสักครู่นะ” กล่าวจบก็รีบลุกออกไปทันที
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป [=30นาที] หรานเอ๋อกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่มีหยางลู่เดินตามมาด้วย เพ่ยหลันเหลียวมองเล็กน้อย นางรับห่อผ้าซึ่งมีเข็มเรียงรายอยู่มากมาย
“เจ้าแน่ใจหรือว่าสามารถรักษาหานจิ่งได้”
“ข้าไม่รู้ ต้องดูก่อนว่าที่ตรวจเจอมันใช่หรือไม่” ตอบกลับผู้มาใหม่โดยไม่มองหน้าแม้แต่น้อย
มือเล็กหยิบเข็มออกมา นางใช้มันจิ้มลงที่ปลายนิ้วของผู้ที่นอนไร้สติ แต่ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดออกมา เพียงเท่านั้นคิ้วสวยก็ขมวดเป็นปม ขยับมือไปยังเส้นเลือดที่แขนแล้วจิ้มเข็มลงไปอีกครั้ง ครานี้มีน้ำสีดำเข้มผุดขึ้นมา แต่มันก็แข็งตัวในทันที ทำเอาผู้ที่ยืนอยู่ต่างก็พากันตกใจ
“ขอกระดาษกับปากกา เอ่อ ไม่ใช่กระดาษกับพู่กัน” เพราะรีบร้อนจึงทำให้เอ่ยผิด คนฟังก็รีบทำตาม เพ่ยหลันจึงรีบเขียนเทียบยาส่งให้หยางลู่ “ข้าต้องการของเหล่านี้ พอจะหาได้หรือไม่ และต้องการอะไรก็ได้ที่ใหญ่พอใส่คนลงไป ตอนนี้เลือดกำลังจะแข็งตัว ต้องรีบสลายก่อน”
“เจ้าหมายจะต้มสหายข้างั้นหรือ” คนตัวโตตวาดเสียงลั่น อุตส่าห์มีความหวังแล้วเชียว
“ใครจะต้มคนกันล่ะ แค่ต้มยาแล้วเอามาผสมกับน้ำส่วนหนึ่ง ต้องให้มันอุ่น เลือดในตัวจะละลาย รีบไปเถอะอาการเช่นนี้คนป่วยทรมานมาก หากวันใดทนไม่ได้ก็ตาย” เอ่ยบอกอย่างที่รู้ ทำเอาทั้งสองต้องรีบทำตาม
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ทั้งน้ำต้มสมุนไพรและถังไม้ใหญ่ถูกเตรียมพร้อมแล้ว ร่างของหานจิ่งถูกนำลงไปแช่น้ำทันที โดยที่เขาเองก็ยังไม่ได้สติ ความร้อนในน้ำมากพอทำให้ร่างกายนี้เหงื่อออกคละไปกับน้ำซึ่งมีใบสมุนไพรลอยอยู่
“เจ้าดูแลหานจิ่งนะหรานเอ๋อ ส่วนเจ้าไปกับข้าประเดี๋ยว ช่วยตรวจดูท่านอ๋องที” เมื่อเห็นช่องทางเล็กน้อยเขาก็ยินดีจะทำ เพ่ยหลันเองก็เต็มใจเพราะนี่ก็เป็นทางรอดเดียวที่นางจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้โดยไม่ถูกประหารเสียก่อน
“เจ้าตรวจดูที เป็นเช่นเดียวกับหานจิ่งหรือไม่ ข้าสั่งคนเตรียมน้ำสมุนไพรเรียบร้อยแล้ว” เอ่ยอย่างร้อนใจ
“อาการเหมือนกัน ท่านรีบจัดการเถอะ ต้องแช่ก่อนเลือดจะแข็งตัว ส่วนเรื่องถอนพิษข้าจะตรวจดูอีกที จำต้องรู้ที่มาของมันเสียก่อน” เอ่ยพร้อมกับเก็บม้วนผ้าที่ห่อหุ้มเข็มเอาไว้ นางมองใบหน้าของท่านอ๋อง ยามนี้เขาดูอิดโรยไม่ต่างจากคนรักของหรานเอ๋อ ซูบผอมจนหาราศีของผู้สูงส่งไม่มี แต่มันก็ไม่แปลกเพราะนอนป่วยมาร่วมเดือนแล้ว อาหารอะไรก็ไม่ได้กิน
ผ่านไปสองชั่วยาม [=4ชั่วโมง] อาการของคนแช่น้ำสมุนไพรมีสีหน้าดีขึ้น จากซีดเซียวก็มีสีเลือดเล็กน้อย พอเพ่ยหลันลองจิ้มเข็มลงที่นิ้วของท่านอ๋อง เลือดก็ผุดออกมาต่างจากคราแรกที่ต้องบีบ ทำให้หยางลู่ใจชื้นขึ้นมา
“ดีจริง ท่านอ๋องจะหายใช่หรือไม่เพ่ยหลัน”
“ข้าบอกแล้วว่าต้องดูก่อนว่าถูกพิษอะไร ว่าแต่ก่อนนี้ท่านอ๋องไปที่ใดมาหรือไม่ แล้วสิ่งที่เชื่อมต่อระหว่างท่านอ๋องหานจิ่ง และกรมพิธีการคือสิ่งใด มันอาจจะติดมากับสิ่งของที่สัมผัสก็ได้” คำถามนี้ทำให้หยางลู่ถึงกับเป็นงง
“เจ้าหมายความว่าท่านอ๋องถูกวางยากระนั้นหรือ”
“ก็ถ้าไม่ใช่ จะบอกว่ากินยาพิษเองหรือไงล่ะ” คนจากยุคอื่นตอบกวนตามสไตล์ของตน โดยลืมไปว่าตนนั้นเป็นเพียงบ่าวรับใช้ในจวน จึงถูกอีกฝ่ายตำหนิทางสายตาทันที
“เอาเถอะ ข้าจะลองนึกดู ตั้งแต่กลับมาจากทำศึก ท่านอ๋องก็ไม่ได้ไปที่ใด คนของกรมพิธีการก็ไม่เคยเจอกัน มีแต่หานจิ่งเท่านั้นไปที่นั่น เพราะต้องส่งราชสาส์นยอมจำนนของแคว้นเหลียงให้ฝ่ายนั้นเก็บไว้” นึกถึงตรงนี้คิ้วหนาก็ผูกกันเป็นปม “เจ้าสามารถตรวจสอบพิษได้หรือไม่”
“ต้องดูก่อน ทุกอย่างล้วนแต่ต้องเห็นด้วยตาถึงจะรู้”
“เช่นนั้นข้าจะออกไปขอให้สหายท่านอ๋องช่วยนำสาส์นนั้นมา เจ้าจะได้ลองตรวจสอบดู” หยางลู่เอ่ยอย่างร้อนใจ
“เดี๋ยว! ให้ใช้ผ้าหนาจับนะ หากเป็นตัวต้นพิษมันก็อาจทำให้คนที่นำมาล้มป่วยได้เช่นกัน” เพ่ยหลันเตือนสติ อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ เขารีบออกไปหาต้นตอของเรื่องนี้ เพราะราชสาส์นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนทั้งห้านี้มากที่สุด
หยางลู่ออกไปหน้าประตูจวน พูดคุยกับใครบางคนพัก ใหญ่เขาก็กลับเข้ามาเพื่อดูผู้เป็นนาย ซึ่งยามนี้สีหน้าดีขึ้นมาก “ต้องเติมน้ำอีกหรือไม่” เขาถามสาวใช้ที่ช่วยรักษา
“เรายังต้องใช้สมุนไพรอีก และต้องให้น้ำอุ่นเสมอ เลือดจะได้ไม่แข็งตัว”
“ได้ ข้าจะรีบไปจัดการ จะเตรียมเอาไว้ให้มาก” ตอบกลับเสียงยินดี หยางลู่รีบเดินออกไปจัดการตามที่เพ่ยหลันเอ่ย ยามนี้นางสั่งสิ่งใดเขาเต็มใจทำทั้งหมด แม้อีกฝ่ายจะมีฐานะต่ำต้อย แต่ก็ทำให้ผู้เป็นนายหน้าตาสดใสขึ้น
เพ่ยหลันเดินเคาะนิ้วตามขอบถังน้ำที่มีร่างสูงนั่งแช่อยู่ เพราะยามนี้ก็มีแค่นางที่ดูแลเขา จะปล่อยให้อยู่ลำพังมิได้ หากเกิดไหลจมน้ำคงได้ตายก่อนรักษาเป็นแน่ นางหยุดมองคนที่ยังไม่ได้สติ พร้อมกับยื่นมือไปเชยคางเขาเพื่อสำรวจใบหน้า แล้วก็นึกสนุกใช้นิ้วเรียวเขี่ยตามจมูกเรียวโด่งของอีกฝ่าย เพราะคงมีโอกาสแค่ตอนนี้แหละ หากเขาสามารถฟื้นกลับมาได้นางก็คงมิอาจเข้าใกล้ได้แล้ว
“ราชนิกูลนี่หล่อกันทุกคนหรือเปล่านะ เห้อ! ทำไมเราไม่เกิดใหม่เป็นชายาเหมือนในนิยายนะ ดันมาอยู่ในร่างของสาวใช้เสียได้ แบบนี้ก็ถูกข่มเหงแยกชนชั้นเหมือนในประวัติศาสตร์ที่เรียนมาน่ะสิ” เสียงเบื่อเซ็งดังขึ้น ก่อนจะนั่งลงไม่ไกลจากถังน้ำของอ๋องหนุ่ม
เสียงฮัมเพลงจากยุคปัจจุบันดังขึ้น พร้อมกับนั่งกระดิกขามองร่างสูงที่แช่น้ำอยู่ นางอยู่ในห้องนี้เนิ่นนานเที่ยวตักน้ำต้มสมุนไพรเติมให้เจ้าของจวน เพื่อให้ร่างกายขับพิษออกทางเหงื่อ หยางลู่นั้นได้รับอนุญาตออกไปรับราชสาส์นด้วยตนเอง เพื่อมิให้คนภายนอกต้องติดโรคนี้ตามไปด้วย