2. ใครกันที่ประหลาด
ครึ่งเดือนผ่านไป โจวสุ่ยและคนสนิทยังคงนอนซมอยู่บนเตียง แม้จะได้รับการรักษาโดยกินยาและฝังเข็ม แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเลย ซ้ำยังทรุดหนักลงอีก กลายเป็นข่าวใหญ่ดังไปทั่วเมืองจนห้ามจัดงานฉลองใดๆ ในยามนี้
เพ่ยหลันยืนมองเรือนหลังใหญ่ของจวนพร้อมกับเผยยิ้ม หากอ๋องแปดสิ้นใจ นางก็จะได้ไปอยู่รับใช้อ๋องเก้าเช่นเดิม วันนี้จึงออกมาเดินเล่นในตลาด แต่กลับถูกสายตาของชาวเมืองมองอย่างหวาดกลัว เพราะรู้ดีว่านางเป็นคนของใคร จึงเกิดความรังเกียจขึ้นมา
“ไปให้พ้นเลยนะ อย่าเดินมาร้านข้า” เสียงตวาดดังลั่น เมื่อสตรีตัวน้อยหมายจะเดินเข้าไปดูปิ่นที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ใช่ๆ ไปให้พ้น เราไม่ต้อนรับคนจากจวนอ๋องแปด” เสียงสำทับดังขึ้นมาเสริม ทำเอาผู้คนที่เดินอยู่เริ่มหาบางสิ่งขว้างปา พร้อมกับถือไม้ไล่ทุบตีอย่างน่าเวทนา
“ช่วยด้วย!! ข้ามิได้ป่วยนะ อย่าทำข้า!” เพ่ยหลันร้องเสียงหลง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะใบหน้านางนั้นมีตุ่มแดงหนองขึ้นเต็มหน้า ทำให้ชาวเมืองพากันเข้าใจผิด คิดว่าป่วยเป็นโรคติดต่อเช่นผู้เป็นนาย
“ทางนั้น นางวิ่งไปจวนอ๋องเก้าแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นตามหลัง ร่างเล็กรีบวิ่งหน้าตื่น ใบหน้ามีโลหิตไหลย้อยลงมา เพราะถูกตีที่หัว แต่ถึงกระนั้นเพ่ยหลันก็ยังกัดฟันหนีต่อ หวังจะไปพึ่งใบบุญของจางเหรินให้ช่วย เพราะอย่างไรนางก็ทำงานให้เขา อีกฝ่ายไม่ทอดทิ้งเป็นแน่
นางวิ่งมาจนถึงสะพานไม่ไกลจากจวนอ๋องเก้าก็หยุดพัก เพราะไม่มีใครตามมาแล้ว ร่างเล็กยืนแนบราวสะพานหอบหายใจถี่ แต่จู่ๆ สองขาก็ลอยขึ้น ก่อนที่เพ่ยหลันจะล่วงหล่นตกคลองน้ำลึก โดยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลย เพราะนางว่ายน้ำไม่เป็นและไม่มีผู้ใดพบเห็น
“ช่วยด้วย!! ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย” เสียงร้องดังขึ้นเพียงแค่นั้นก็หายเงียบไป
ร่างเล็กจมดิ่งสู่ก้นบึ้งของลำคลองใสอย่างง่ายดาย ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครเห็นว่านางอยู่ใต้น้ำ เพราะแถวนี้เป็นเขตของจวนอ๋องเก้า หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีผู้ใดผ่าน ดวงตาสวยมองภาพเบื้องบนที่ริบหรี่มืดสลัวลงทุกที พร้อมกับเวทนาชะตาชีวิตของตนเองที่เกิดมาอาภัพนัก ไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็ดับวูบลง มีเพียงความมืดเข้าปกคลุม
จวนอ๋องแปด
ลู่หยางกำลังเช็ดตัวให้ผู้เป็นนาย ซึ่งยังมีสติอยู่ เพียงแต่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง “ท่านอ๋องเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงนี้ฟังดูเป็นห่วงยิ่งนัก แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีแรงจะตอบ เพราะแค่ขยับปากจะเอ่ย เสียงมันกลับไม่มีเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่ พระองค์ไม่เคยเสด็จไปที่ใดเลย ไยถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้” เอ่ยพรางทอดถอนใจ มองผู้เป็นนายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง “กระหม่อมจะเชิญหมอผีมาปัดรังควาน เผื่ออะไรจะดีขึ้นบ้าง”
โจวสุ่ยได้แต่ขยับดวงตามองคนสนิท ในใจเปล่งเสียงดังบอกเขาว่าอย่าได้เชื่อเรื่องงมงาย แต่ก็ทำได้เพียงมองแผ่นหลังหยางลู่เดินออกไปจนลับตา
“ข้าป่วยได้อย่างไรกัน แล้วเหตุใดถึงมีแค่ข้ากับหานจิ่ง ไยคนในจวนถึงไม่เป็นอะไรเลย” อ๋องหนุ่มคิดในใจ เขามองหาต้นเหตุของการล้มป่วยครานี้ไม่เจอ เพราะตั้งแต่กลับมาจากทำศึกก็มิได้ออกไปไหน
แต่ในขณะที่กำลังคิดอยู่เงียบๆ เสียงคนพูดคุยด้านนอกก็ดังขึ้น “ดูเหมือนจะเกิดเรื่อง” โจวสุ่ยเอ่ยในใจอีกครั้ง พอดีกับประตูห้องเปิดออก ร่างสูงของคนสนิทเดินตรงเข้ามาคุกเข่าข้างเตียง พร้อมกับเอ่ยรายงาน
“ท่านอ๋องคงอยากทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พอดีมีสาวใช้ออกไปข้างนอกนางถูกทำร้ายบาดเจ็บซ้ำยังตกสะพาน คนของเราเห็นนางเดินสะเปะสะปะตัวเปียกจึงพากลับมา แต่นางโวยวายบอกแต่ว่าจะกลับบ้านท่าเดียว ดูท่าบาดแผลบนหัวจะทำให้จำสิ่งใดมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำที่คนสนิทบอกเล่าทำให้โจวสุ่ยรู้สึกอนาถยิ่งนัก ไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดสาวใช้ผู้นั้นถึงถูกทำร้าย ต้องเป็นเพราะนางเป็นคนของจวนอ๋องแปด จึงทำให้ทุกคนรังเกียจเกรงว่าจะนำโรคภัยออกไปติดเป็นแน่
“ฝ่าบาทพึ่งส่งยามาให้ กระหม่อมจะป้อนนะพ่ะย่ะค่ะ” กาต้มยาขนาดเล็กถูกยกออกจากเตา หยางลู่ค่อยๆ เทลงใส่ถ้วย ไอร้อนคละคลุ้งส่งกลิ่นสมุนไพรแต่ทั้งคนต้มและคนดื่มต่างก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือไม่ แค่ทำทุกอย่างที่คิดว่าดีเท่านั้นเป็นพอ
หยางลู่บรรจงป้อนยาให้ผู้เป็นนายจนหมด ผ้าผืนน้อยยกขึ้นเช็ดปากให้อย่างเบามือ เขาเฝ้าดูอาการต่อพักใหญ่จนเผลอหลับไปในที่สุด เป็นเช่นนี้อยู่ทุกวัน แต่ผู้เป็นนายก็ไม่มีอาการดีขึ้น รวมถึงสหายอย่างหานจิ่งด้วย
ด้านเรือนพักสาวใช้ด้านหลัง เพ่ยหลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากวันที่ตกน้ำไป นางก็นอนไม่ได้สติถึงสองวัน บนหัวก็ยังมีผ้าพันแผลโพกเอาไว้
“ที่นี่ที่ไหนกัน?” ดวงตาอันเหนื่อยล้ามองไปรอบห้อง สองวันก่อนนางจำได้ว่าตนเดินอยู่ท่ามกลางสถานที่ประหลาด แล้วก็ถูกพามาเรือนหลังใหญ่มาก
“เจ้าตื่นแล้วหรือ ดื่มน้ำก่อนสิ” เพ่ยหลันกะพริบตาถี่มองผู้ที่ยื่นจอกน้ำให้ คิดในใจว่าแค่นี้มันจะไปอิ่มได้อย่างไร แต่นางก็ยังคงรับมา ซ้ำยังขอเพิ่มอีก
“คิดว่าเจ้าจะไม่รอดแล้วเสียอีก อาการน่าเป็นห่วงพอๆ กับท่านอ๋องและพี่หานจิ่งเลย” หรานเอ๋อ สาวใช้วัยสิบแปด เป็นสหายของเพ่ยหลัน และเป็นคนรักของหานจิ่ง
“ทำไมเหรอ? คนที่เธอพูดถึงก็ป่วยหรือไง” คนบนเตียงถาม พร้อมกับคิ้วสวยผูกกันเป็นปม แต่นั่นไม่เท่ากับความสงสัยของหรานเอ๋อที่มีต่อสหายรุ่นน้อง
“ไยเจ้าพูดจาประหลาดนัก” คำถามนี้ทำให้คนบนเตียงเป็นงงพอกัน เพราะเริ่มตะหงิดใจกับคำพูดของคนตรงหน้า
“เอ่อ..คงเพราะหัวกระแทกล่ะมั้ง” ตอบเลี่ยงไปก่อน แต่อีกฝ่ายก็ยังคงฉงนกับถ้อยคำที่สหายเอ่ยอยู่ดี
“เอาเถอะ คงเป็นเช่นที่เจ้าว่า ข้าจะออกไปหาอะไรมาให้กิน ยามนี้คงได้แค่โจ๊กเท่านั้น เพราะไม่มีใครมาส่งอาหารที่จวนเลย ออกไปก็ไม่ได้อีกไม่นานเราคงอดตายเป็นแน่” น้ำเสียงนี้ฟังแล้วช่างหดหู่ยิ่งนัก
คนบนเตียงมองตามพร้อมกับกลืนน้ำลาย ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้มแหยออกมา “ทำไมพูดเหมือนคนจีนโบราณ คงไม่ได้ถ่ายซีรี่ย์กันอยู่หรอกนะ แล้วทำไมไม่พาเราไปส่งโรงพยาบาลล่ะ คนเมื่อกี้บอกว่าเราหลับไปตั้งสองวันไม่ใช่เหรอ” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมา
ดวงตาสีดำขลับก้มลงมองร่างกายของตน มือเรียวจับชายผ้ายกขึ้นดู แล้วยกขึ้นลูบหัวตรงบาดแผลซึ่งมีผ้าพันเอาไว้ “เราไปหัวแตกตอนไหนนะ จำได้ว่ากำลังฉลองวันเกิดเคที่บนเรือ หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้แล้ว เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คำถามนี่ไม่มีใครให้คำตอบได้ ร่างเล็กจึงพยายามพาตัวเองลุกขึ้นเดินออกไปดูด้านนอก ภาพที่เห็นคือความเงียบเหงาไร้เงาผู้คน
“ทำไมถึงตบแต่งเหมือนบ้านในซีรี่ย์ที่เคยดูมาเลยล่ะ หรือเจ้าของบ้านชอบแนวนี้ แต่สวยจังเลยแฮะ อย่างกับหลุดมาอยู่ในยุคโบราณจริงๆ เลย” เพ่ยหลันยังคงส่งเสียงแหบพร่าออกมา เพราะสิ่งที่เห็นมันดูแปลกตามาก
“เจ้าจะรีบออกมาทำไม พึ่งจะฟื้นกลับเข้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าดีใจที่เห็นเจ้าลุกได้เช่นนี้” หรานเอ๋อเอ่ยขึ้น นางถือถาดเดินตรงเข้าห้อง มีเพ่ยหลันตามมาติดๆ
“กินเสีย ข้าจะไปดูพี่หานจิ่ง”
“เขาป่วยเป็นอะไรเหรอ?” ถามแล้วก็ก้มหน้าลงเป่าข้าวต้มในถ้วย ซึ่งมันน่าจะเป็นน้ำข้าวมากกว่า
“มิมีใครรู้ ท่านหมอนับสิบมาตรวจก็หาสาเหตุมิได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราคงตายกันหมดทั้งจวนเป็นแน่” เสียงของคนตรงหน้า ทำให้คนที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปากถึงกับชะงัก ก่อนจะวางช้อนลงแล้วถามถึงสาเหตุ
“มันร้ายแรงขนาดนั้นเชียว” อีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ตอบคำถามของนาง เพราะพอจะเข้าใจประโยคนี้
“อืม ได้ยินว่าชาวเมืองยื่นฎีกาให้ฮ่องเต้สั่งประหารท่านอ๋อง และทุกคนในจวน เพราะเกรงว่าจะป่วยเป็นโรคระบาดอาจแพร่ออกไปสู่ภายนอกได้” เอ่ยบอกเสียงเศร้า
“ฮ่องเต้!! ท่านอ๋อง!! นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม”
“เจ้าตกใจอันใดกัน ที่นี่เป็นจวนอ๋องแปด พระอนุชาของฮ่องเต้ ดูท่าหัวของเจ้าคงกระเทือนมากจนลืมสิ้นทุกอย่าง เช่นนั้นกินแล้วก็นอนพักเถอะ” เอ่ยจบหรานเอ๋อก็ลุกเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนที่นั่งอยู่มึนงงไปพักใหญ่
“ไม่ได้การแล้ว” ดวงตากลมโตหันหาบางสิ่ง เมื่อเห็นมันตั้งอยู่มุมหน้าต่างจึงรีบเดินตรงไป กระจกทองเหลืองบานเล็กส่องสะท้อนใบหน้าผู้ที่ยืนอยู่ ใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย “เธอเป็นใครเนี่ยะ” มือขาวยกขึ้นลูบแก้มไปมา จึงได้สัมผัสเม็ดตุ่มที่มีมากกว่าสิบ เป็นที่น่าหวาดกลัวแม้แต่ตัวนางเองก็ยังตื่นตระหนก
“ไม่จริงใช่ไหม นี่เราอยู่ในร่างของคนอื่น เด็กคนนี้น่าจะไม่ถึงยี่สิบ นี่เราตายแล้วเหรอ”คำถามมากมายแล่นอยู่ในหัว เพราะสิ่งที่เห็นมันไม่น่าเชื่อเอาซะเลย
“อย่าบอกนะว่าเราตาย แล้ววิญญาณมาเกิดใหม่ในร่างนี้และอยู่ในยุคโบราณด้วย ไม่จริงมั้งมันมีแค่ในนิยายกับซีรี่ย์เท่านั้น อีกอย่างเราก็ไม่ใช่คนจีนแท้ จะหลุดมายุคคนชาติอื่นได้ยังไงกัน” ความสงสัยมีมากขึ้น นางนั่งลงหน้าโต๊ะเพ่งมองใบหน้าในกระจก เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่ใบหน้านี้จะแนบลงกับพื้นโต๊ะ
“เอาไงต่อล่ะทีนี้” บ่นออกมาเบาๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยตุ่มแดงเงยขึ้น “เอาเถอะ จัดการแผลบนหัวก่อนแล้วกัน ดูซิคนยุคนี้รักษากันยังไง เรื่องใบหน้าเอาไว้ทีหลังแล้วกัน”