1. ล้มป่วยไม่ทราบสาเหตุ
ท่ามกลางแสงแดดที่กำลังแผดเผา ยังมีกองทหารซึ่งกำลังสู้รบห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ น้ำสีแดงเจิ่งนองไม่นานก็แห้งผาด เพราะอุณหภูมิที่ขึ้นสูง บางคนบาดเจ็บร่างกายปะปนไปด้วยเหงื่อและโลหิต แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจหยุดต่อสู้ได้ ไม่ต่างจากผู้เป็นนายที่ฟาดฟันศัตรู แม้จะมีบาดแผลที่หัวไหล่ข้างขวา
“หานจิ่งตั้งค่ายสามดาว” เสียงสั่งการดังขึ้น เมื่อบุกมาถึงค่ายหน้าประตูเมืองต่างแคว้น หลังจากที่บุกตีมาได้ถึงสองเมืองแล้ว
กองทัพแคว้นต้าหย่งนี้มีผู้นำที่เก่งกล้าคอยนำทัพ นั่นคืออ๋องแปด เทพสงครามที่ทุกแคว้นต่างก็เกรงกลัว เขาเย็นชาราวคนไร้หัวใจ ยามทำศึกก็ยากที่จะละเว้นศัตรู จึงได้สมญานามว่าบุรุษใจเหี้ยม ผู้คนต่างก็หวาดหวั่นแม้จะมีใบหน้ารูปงามคมคายมากก็เถอะ
เขายืนมองกำแพงสูงเบื้องหน้า พร้อมกับทหารนับแสน กองพลแต่ละหน่วยยืนเรียงแถวตามแนว รอรับคำสั่งบุกเข้าเมือง ทำเอาเหล่าทหารของอีกฝ่ายพากันตื่นกลัว เมื่อมองเห็นกำลังพลที่มากกว่าฝั่งตน
“เปิดประตูเมือง” เสียงของขุนนางผู้ซึ่งทำหน้าที่ทูตร้องบอกทหารรักษาเมือง ทุกสายตาหันมาสนใจทันที พากันไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงมีคำสั่งเช่นนี้ลงมา แต่ก็มิอาจขัดผู้ที่มีอำนาจมากกว่าได้ ประตูเมืองอันแข็งแรงจึงถูกเปิดออก
อาชาตัวใหญ่ถูกควบไปยังกลางลานศึกหน้าเมือง ซึ่งมีทหารต่างแคว้นตั้งท่ารอบุกอยู่ นัยน์ตาคมดำขลับจ้องมองไปยังผู้ที่กำลังควบม้าเข้ามา ก่อนจะหยุดลงเบื้องหน้าเขา พร้อมกับม้วนราชสาส์นบางอย่าง
“เจ้าเป็นใคร” หานจิ่งมือขวาของท่านอ๋องเอ่ยถามผู้มาเยือน เมื่ออีกฝ่ายลงมาจากม้าและคุกเข่าตรงหน้า
“กระหม่อมคือหัวหน้าองครักษ์ของฮ่องเต้ฉิน นำราชสาส์นขอสงบศึกมาส่งมอบท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษหนุ่มตอบกลับเสียงหนักแน่น พร้อมกับยกม้วนสาส์นในมือชูเหนือหัว เพื่อส่งต่อให้กับแม่ทัพต่างแคว้น คนสนิทของท่านอ๋องเดินเข้ามารับเพื่อส่งต่อให้ผู้เป็นนาย
“นี่พ่ะย่ะค่ะ” หานจิ่งมอบกระบอกซึ่งมีสาส์นอยู่ด้านในให้ท่านอ๋อง มือหยาบกร้านคลี่ออกอ่านมินาน เขาเผยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย นัยน์ตาคมหันกลับมาหาผู้ที่ยังคุกเข่าอยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ข้ารับข้อเสนอ บอกให้ฮ่องเต้เจ้ารีบจัดการให้แล้วเสร็จในหกวัน มิเช่นนั้นข้าจะบุกเข้าไปจนถึงวังหลวง” สิ้นเสียงอ๋องหนุ่มก็หันไปสั่งให้ทัพถอยออกไปตั้งหลักห่างออกไปสี่ลี้ [= 2 กิโลเมตร]
กองทัพนับแสนเคลื่อนพลกลับไปตั้งค่าย เพื่อรอราชสาส์นสงบศึกส่งถึงเมืองหลวงแคว้นต้าหย่ง มันพอดีกับเวลาที่เขาให้แคว้นเหลียง จนกระทั่งครบกำหนดก็มีการสงบศึกอย่างที่คาดการณ์ โดยฝ่ายแพ้ยอมยกสองเมืองที่ถูกตีแตกแล้วให้เป็นเมืองขึ้น
กองทัพจึงถอยร่นกลับไปที่เมืองหน้าด่าน ประจำการที่ค่ายทางทิศตะวันออกของแคว้น ส่วนผู้นำนั้นกลับเมืองหลวงไปแล้ว ตามรับสั่งของฮ่องเต้เพื่อปูนบำเน็จรางวัล
ณ ท้องพระโรง
“โจวสุ่ย ครานี้เจ้าทำผลงานได้ดีเยี่ยมรู้หรือไม่” เสียงทรงอำนาจจากเบื้องบนเปล่งลงมาชื่นชมพระอนุชา ทำให้บางคนถึงกับหลับตาแล้วถอนหายใจเบาๆ แก้มสากนั้นขึ้นเป็นสันนูน เพราะไม่พอใจนักที่อ๋องแปดทำผลงานอีกแล้ว
“ข้าเกลียดท่าทีของมันเหลือเกิน” อ๋องหกเอ่ยเสียงเบา สายตาเกลียดชังส่งผ่านไปยังน้องชายต่างมารดา
“ใจเย็นเถอะเจ้าหก มีเรื่องใดค่อยกลับไปคุยที่จวน” อ๋องสามเอ่ยเตือนสติอนุชาที่มักจะใจร้อนวู่วามผู้นี้ อ๋องหกจำต้องหุบปากของตนลงแล้วยืนเงียบ ฟังขุนนางพากันชื่นชมอนุชาต่างมารดา ภายในใจแฝงไว้ด้วยความขุ่นมัว
“เจ้ามีสิ่งที่ต้องการหรือไม่โจวสุ่ย” ฮ่องเต้เอ่ยถาม เพราะตลอดเวลาที่ชนะศึกมาพระอนุชาก็ไม่เคยขอสิ่งใด
“กระหม่อมมิมีสิ่งที่อยากได้พ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมา ใบหน้าก็ยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
“เจ้านี่นะไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ แต่เอาเถอะวันใดเจ้ามีสิ่งที่อยากได้ก็เอ่ยกับข้าแล้วกัน วันนี้พอแค่นี้เถอะ” เอ่ยจบฮ่องเต้วัยสามสิบสองก็เดินกลับเข้าด้านหลัง ทิ้งให้เหล่าขุนนางยืนพูดคุยกันต่อ แต่ฟานโจวสุ่ยหาได้อยู่รอฟังคำชื่นชมจากพวกเขาไม่ เพราะต่างก็รู้ดีว่าคนเหล่านี้หวังแต่อำนาจ
จวนอ๋องสาม
ยามนี้มีท่านอ๋องถึงสามพระองค์นั่งหารือกันอยู่ ต่างก็เป็นฝ่ายตรงข้ามกับฮ่องเต้และโจวสุ่ยมาตั้งแต่ยังไม่สถาปนาผู้ครองราชย์องค์ใหม่ และคอยหาวิธีเอาบัลลังก์กลับคืนมา เพราะความคิดที่ว่าตนนั้นคือโอรสองค์โตสุด เพราะพระเชษฐาทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังเยาว์ แต่เหตุใดมิรู้ได้เสด็จพ่อผู้ล่วงลับกลับยกบัลลังก์ให้กับองค์ชายสี่แทนที่จะเป็นเขา จึงเป็นที่มาให้พวกเขาคิดแย่งชิงบัลลังก์
“เสด็จพี่โจวสุ่ยกลับมาเมืองหลวงแล้วเช่นนี้เราคงทำการลำบากแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องหกนามว่าฟานจางจินเอ่ยกับพระเชษฐาทั้งสองพระองค์ ซึ่งครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ไม่ต่างกัน ลำพังรับมือฮ่องเต้กับอ๋องห้าก็ทำสิ่งใดได้ไม่ถนัดแล้ว แต่ยามนี้โจวสุ่ยยังกลับมาพำนับที่เมืองหลวงอีก
“อย่าพึ่งร้อนใจไปเลยเสด็จพี่ทั้งสาม พี่แปดมิใส่ใจเรื่องราชสำนักอยู่แล้ว เรื่องยักยอกและการกบฏข้าคิดว่าเขามิมีทางเข้ามายุ่งเกี่ยวเป็นแน่” เสียงทุ้มของอ๋องเก้าดังขึ้น พร้อมกับเดินเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่
“น้องเก้าเจ้ากลับมาแล้วหรือ ดีเลยมาช่วยกันหารือเถอะ” อ๋องเจ็ดเอ่ยกับอนุชาองค์สุดท้าย เสียงพูดคุยเกิดขึ้นหลังจากนั้นจนดึกดื่นเช่นทุกครั้งที่พวกเขามารวมตัวกัน
หนึ่งเดือนผ่านไป ทุกอย่างปกติสุขไร้ศึก เพราะแคว้นโดยรอบต่างก็ตกเป็นเมืองขึ้นของแคว้นต้าหย่ง ไม่มีใครกล้ายกทัพกลับมาชิงเมืองของตนกลับคืน เพราะสูญเสียไพร่พลไปมากกว่าจะฟื้นตัวได้คงอีกนานหลายปี
จวนอ๋องแปด ยามรุ่งสางของวันใหม่แสงแดดอ่อนรำไรโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ร่างสูงกำยำของอ๋องหนุ่มวัยยี่สิบหกกำลังควงทวนไปมาเหมือนทุกวัน เขายังคงฝึกปรือแม้จะไม่ได้ออกรบแล้ว แต่สองสามวันมานี้เขากลับรู้สึกเหนื่อยง่าย ร่างกายไร้เรี่ยวแรงราวกับคนป่วย
“ท่านอ๋องพักก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดเหงื่อออกมากนัก พระองค์ไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย” บ่าวรับใช้ตรงเข้ามาประคองผู้เป็นนาย เขาพาไปนั่งที่ตั่งยาวก่อนจะรินชาให้
“กระหม่อมจะไปตามท่านหมอมาตรวจดูอาการเดี๋ยวนี้” หยางลู่คนสนิทอีกคนของโจวสุ่ยเอ่ย เขารีบสั่งทหารทันที เพราะผู้เป็นนายดูอาการแย่มาก ซึ่งโจวสุ่ยก็เห็นดีกับความคิดเขา เพราะรู้สึกแย่กับร่างกายของตนที่มันดูทรุดลงทุกวันอย่างน่าสงสัย และไม่ใช่แค่เขายังมีหานจิ่งด้วย
“เมื่อเช้าหานจิ่งก็บ่นว่าเหนื่อยจนไม่ยอมลุกออกจากเตียง ไม่รู้ไปติดหวัดที่ใดมาทั้งที่เป็นคนแข็งแรงเพียงนั้น” หยางลู่กล่าวกับผู้เป็นนายซึ่งหน้าซีดมาก
ใครคนหนึ่งยืนมองอยู่มุมเรือน ริมฝีปากนั้นยกขึ้นเล็กน้อย “ต้องรีบรายงานอ๋องเก้า” ผู้ที่แอบดูรีบออกจากจวนไปเช่นกันเพื่อรายงานนายของตน
จวนอ๋องเก้า ร่างเล็กของสตรีตัวน้อยเดินเข้าไปด้านใน เพื่อรายงานข่าวที่ตนได้พบเห็นมา
“ทีหลังเจ้าอย่าออกมาในเวลากลางวันเช่นนี้อีก หากมีคนพบเห็นเข้าจะทำเช่นไร” ซูหม่าคนสนิทของอ๋องเก้าตำหนิสตรีตัวน้อยที่ส่งเข้าไปเป็นสายทันที นางมีหน้าที่อยู่ในครัว คอยช่วยจัดเตรียมอาหารให้จวนอ๋องแปด
“เอาเถอะ เจ้าก็อย่าดุนักเลย เพ่ยหลันก็แค่รีบมาส่งข่าว ว่ามาจวนนั้นเกิดสิ่งใดขึ้น” จางเหรินถามเสียงอ่อนโยน เขาแสร้งพูดจาดีกับนางไปเช่นนั้นเอง เพราะยังต้องการใช้ประโยชย์สตรีผู้นี้ซึ่งนางหลงรักเขามานานแล้ว
“หม่อมฉันคิดว่าท่านอ๋องโจวสุ่ยกำลังป่วยเพคะ ปกติร่างกายดูแข็งแรงมิเคยมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน จนลู่หยางต้องรีบให้คนไปตามหมอมาเลยเพคะ” เสียงหวานเอ่ยรายงาน
“จริงหรือ? พี่แปดแข็งแรงที่สุดในบรรดาพี่น้อง เจ็บป่วยได้อย่างไรกัน” จางเหรินเอ่ยในสิ่งที่ตนเคยเห็นมา
“จริงเพคะ ยามนี้ท่านหมอคงกำลังตรวจอยู่เป็นแน่”
“เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไป ได้ความอย่างไรให้คนมาส่งข่าว มิต้องออกมาเองประเดี๋ยวจะถูกสงสัยได้”
เพ่ยหลันมีสีหน้าหม่นลงทันที คิดว่าจะได้อยู่ต่ออีกสักนิด แต่ดันถูกไล่ให้กลับทั้งที่พึ่งมาถึงแท้ๆ นางย่อตัววางมือทับกันเหลือบมองผู้เป็นนายเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ปกติอ๋องเก้าจะต้องเอ่ยชมนาง บางคราก็มอบจุมพิตให้แม้ใบหน้านี้จะดูน่ารังเกียจ
เพราะมีเม็ดตุ่มขึ้นเต็มแก้ม นางกำลังอยู่ในวัยสาวอายุสิบเจ็ดปีเต็ม จึงทำให้ร่างกายที่ไม่ได้รับการดูแลดีๆ เหมือนสตรีชั้นสูง มีตุ่มขึ้นเพราะความร้อนจากการอยู่ในที่อับอย่างเช่นครัว นางจึงจำต้องเดินก้มหน้าออกจากจวน
“เจ้าส่งคนไปสืบมาอีกทาง ข้าอยากรู้ว่าพี่แปดเป็นอันใดกันแน่ หากป่วยจริงก็เหมาะที่จะสร้างเรื่องเพิ่ม”
“กระหม่อมไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” อ๋องหนุ่มมองตามคนสนิทจนลับตา ริมฝีปากหนายกยิ้มพอใจกับข่าวที่ได้ยิน ซึ่งมันเป็นอย่างที่เขาได้รับรายงานมา
หลังจากนั้นสามวันอ๋องแปดก็ถึงกับลุกไม่ขึ้น รวมถึงคนสนิทอย่างหานจิ่ง เป็นที่แปลกใจของคนในราชสำนัก เพราะไม่เพียงแค่สองคนนี้ที่ล้มป่วย แต่ยังมีคนของกรมพิธีการอีกสามคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคประหลาดนี้เช่นกัน
หมอดังทั่วเมืองถูกเรียกตัวเข้ามาเพื่อรักษา แต่ผ่านไปห้าวันแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถตรวจพบอาการป่วยนี้ได้ ทำให้ฮ่องเต้และอ๋องห้าร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่มิอาจมาเยี่ยมได้เพราะเหล่าขุนนางคิดเห็นว่าอาจเป็นโรคติดต่อ ยามนี้คนป่วยจึงถูกกักตัวให้อยู่แต่ในเรือน
# มีคำผิดตรงไหนแจ้งไรท์ได้นะคะ พอดี แก้แล้วก็เอาลงเลย ก่อนนี้ก็พลาดตั้งแต่บรรทัดแรกกันเลยทีเดียว จาก ห้ำหั่น เป็น หำหัน 555 ยังดีที่ไม่หลุดรอดสายตา รอดตายไป 555 บางทีดูแล้วเช็คแล้วก็ยังมีตกหล่น วานคุณริ้ดเป็นอาจารย์จับผิดให้ด้วยนะคะ 555
ขอบคุณที่เก็บเข้าชั้นนะคะ กราบงามๆ