ถามไถ่
บทที่ 8 ถามไถ่
เช้าวันถัดมาจอมทัพก็เดินทางกลับบ้านของเขาไปพร้อมกับกระเป๋ารูปปลากระเบนคู่ใจ ไม่ได้ทิ้งสิ่งของอะไรไว้เลยสักชิ้นเดียว จนเธอหลงคิดดีใจไปว่าจอมทัพได้ทานหมูปิ้งแล้วคงจะไม่ได้มาที่นี่อีก แต่เมื่อวันเสาร์ถัดมากลับมีเด็กชายตัวน้อยยืนรอพร้อมกับกระเป๋ารูปปลากระเบนอยู่ที่หน้าประตูห้องเสียแล้ว และคราวนี้เขามาเช้ากว่าครั้งที่แล้วเสียอีก!
อริสาได้แต่โอดครวญในใจ เธอเปิดประตูให้ลูกชายเข้ามาและสายตามองไปที่นาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาเพียงหกโมงครึ่งเท่านั้น ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมครอบครัวนั้นถึงชื่นชอบการตื่นเช้าขนาดนี้
จอมทัพมองมาที่แม่และเห็นว่าเธอยังไม่ตื่นเสียด้วยซ้ำ เขาจึงบ่น “แม่! คุณจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อไหร่!”
“นี่คุณไปฟังคำพูดนี้มาจากใคร”
จอมทัพได้ยินแม่บ้านพูดมา เขาจึงพูดเลียนแบบเท่านั้น ไม่คิดว่าจะถูกถาม “ไม่ใช่เรื่องของคุณ ไปทำอาหารได้แล้ว ลูกหิวแล้ว”
ครั้งนี้อริสาไม่ได้ถามสิ่งที่เขาอยากทานแล้ว เพราะถึงถามไปก็คงต้องใช้เวลาหาวัตถุดิบที่เขาชอบจนไม่มีเวลาทำอาหารกันพอดี เธอจึงตัดสินใจทำข้าวผัดให้ลูกชายทานโดยไม่ได้ถามเขาพร้อมกับโรยต้นหอมเพื่อตกแต่งให้สวยงาม
ข้าวผัดและนมถูกนำมาวางไว้ที่ตรงหน้าของจอมทัพ ทั้งสองคนทานอาหารเช้าโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกัน อริสาสังเกตเห็นว่าจอมทัพไม่แตะนมจืดเลยและพยายามจะเขี่ยต้นหอมออกไปด้วย
“คุณไม่ชอบนมกับต้นหอมเหรอ”
“ลูกเกลียดมาก! คราวหลังคุณอย่าใส่ต้นหอมมาอีกนะ นมก็ด้วย!” จอมทัพพูดพร้อมกับมองไปที่จานของแม่ เด็กชายสังเกตเห็นว่าไม่มีทั้งนมและต้นหอมด้วยซ้ำจึงเริ่มโวยวาย “แม่ ทำไมจานของคุณถึงไม่มีต้นหอมล่ะ!”
“เพราะฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไงล่ะ”
“เหลวไหล! นี่คุณกำลังเลือกปฏิบัติเหรอ” เขาจ้องเขม็งไปที่แม่ด้วยความไม่พอใจ “เป็นผู้ใหญ่แล้วจะกินนมกับต้นหอมไม่ได้ได้อย่างไร คุณคิดว่าลูกเป็นเด็กแล้วจะหลอกได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ!”
“ฉันไม่ได้หลอกอะไรคุณสักหน่อย ฟังให้ดีนะจอมทัพ ที่แม่ของคุณสามารถเลือกทานอาหารที่ชอบหรือไม่ชอบได้เป็นเพราะเธอคือผู้ใหญ่”
“นี่คุณกำลังพูดอะไร” เขาไม่เคยได้ยินเหตุผลนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ มันค่อนข้างจะงี่เง่าและเอาแต่ใจไม่น้อย
“การเป็นผู้ใหญ่หมายความว่าคุณได้ลองทานอาหารหลายอย่างมาแล้วและเมื่อโตขึ้นก็สามารถเลือกทานสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบได้ตามต้องการ แต่ที่คุณต้องทานอาหารที่ไม่ชอบอยู่บ่อย ๆ เพราะคุณเป็นเด็กไงล่ะ คุณจะต้องลองทานสิ่งนั้นหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ชอบมันจริง ๆ และเมื่อวันหนึ่งที่คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณสามารถตัดสินใจได้เองว่าจะทานไม่ทานก็ได้ ถึงเวลานั้นก็ไม่มีใครบังคับคุณได้แล้ว”
จอมทัพเริ่มคล้อยตามคำพูดนั้น
“คุณเข้าใจที่แม่พูดหรือเปล่า”
“งั้นตอนนี้ลูกก็ยังต้องทานสิ่งที่ไม่ชอบอยู่เหรอ”
“ใช่ คุณต้องลองทานมันก่อน ถ้าโตขึ้นเมื่อไหร่แล้วยังไม่ชอบอยู่ก็ไม่ต้องทานอีก”
“อย่างนี้นี่เอง”
“จอมทัพ แม่ของคุณไม่ได้งี่เง่าและไม่ได้จะหลอกคุณด้วย”
“ก็ได้ ลูกจะทานของพวกนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณห้ามบังคับลูกเด็ดขาด!”
“อืม ตกลงตามนั้น” ทั้งสองคนยื่นมือมาเกี่ยวก้อยสัญญากันไว้
สุดท้ายจอมทัพต้องจำใจทานอาหารที่ไม่ชอบต่อไปเรื่อย ๆ จนหมดจาน ในขณะเดียวกันอริสาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพลูกชายและส่งให้พ่อของเขา พร้อมกับข้อความที่ชวนหาเรื่องสุด ๆ
‘ฉันทำให้ลูกชายของคุณทานสิ่งที่ไม่ชอบแล้ว คุณทำได้หรือเปล่า?’
ช่วงดึกของวันนั้นอริสายังคงต้องให้ลูกชายมานอนที่ห้องนอนของเธอก่อน เนื่องจากเธอยังไม่สามารถขนเฟอร์นิเจอร์เก่าออกไปได้ ทั้งสองคนจึงต้องนอนด้วยกันก่อน อีกทั้งคิดว่าเขาคงจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก
อริสารู้มาว่าจอมทัพต้องดื่มนมอุ่น ๆ สักแก้วก่อนเข้านอนเสมอ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบทว่าไอศูรย์กลับให้ลูกชายดื่มทุกครั้งที่เขาได้กล่อมลูกนอน เธอไม่ได้รู้เรื่องนี้จากการที่ได้คุยกับอดีตสามีแต่เป็นเพราะจู่ ๆ ความทรงจำนั้นก็ผุดขึ้นมา วันนี้ก่อนจะให้จอมทัพนอน อริสาจึงยื่นแก้วนมอุ่นให้เขาไป เด็กชายอิดออดเล็กน้อยไม่อยากดื่ม
“ตอนนี้คุณยังเป็นเด็กอยู่นะ ดื่มสักหน่อยเถอะ”
“แต่มันจืด ลูกไม่ชอบ” เขาขยับและเบือนหน้าหนี “คุณชอบคุณก็ดื่มสิ!”
“ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน” เธอปฏิเสธ ในวัยเด็กทุกครั้งที่พี่เลี้ยง เกลี้ยกล่อมให้ดื่มอริสาก็มักจะเบือนหน้าหนีเช่นกัน เธอไม่ชอบกลิ่นนมเลย “แต่ตอนนี้คุณยังเป็นเด็กนะ เอาไว้เป็นผู้ใหญ่เมื่อไหร่ก็เลิกทานได้แล้ว อดทนสักหน่อยเถอะ”
“ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว! ดูสิว่าขาของลูกยาวขึ้นมาก” จอมทัพยื่นขาสั้น ๆ ของตัวเองให้แม่ดู
“ขาของคุณสั้นมาก นั่นแปลว่าคุณยังเป็นเด็กอยู่”
“ลูกไม่ได้ขาสั้น!” เขาเถียงขาดใจ ไม่ยอมรับข้อกล่าวหานี้แน่นอน
“งั้นเอาขาของคุณมาเทียบกับแขนของฉันสิ มาดูกันว่าใครจะยาวกว่ากัน” อริสายื่นแขนของเธอไปเทียบกับขาของลูกชายและผลปรากฏว่าขาของจอมทัพสั้นกว่าจริง ๆ “เห็นไหมขาของคุณสั้นกว่ามาก เพราะฉะนั้นก็ดื่มนมได้แล้ว”
จอมทัพไม่สามารถโต้เถียงได้ เขารู้ว่าตอนนี้ตัวเองยังเป็นเด็กจึงต้องรับนมมาดื่มอย่างไม่พอใจ “ดื่มก็ดื่มสิ!”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาที่ได้ใช้เวลาร่วมกับจอมทัพ อริสาก็ได้รู้ว่ามีเพียงแค่สองสิ่งบนโลกเท่านั้นที่ลูกชายของเธอชอบ สิ่งแรกคือปลากระเบน ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าสะพาย หมวก เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า ทุกอย่างล้วนเป็นรูปปลากระเบนทั้งสิ้น แต่เพราะปลากระเบนไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก สิ่งเหล่านี้ไอศูรย์จึงสั่งผลิตขึ้นมาเองทั้งหมด
ส่วนสิ่งที่สองคือหมูปิ้งร้านป้าณี แม้จะไม่ได้พูดคุยหรือทำสัญญากันแต่ทุกเย็นวันเสาร์ของทุกสัปดาห์ อริสารู้ดีว่าเธอจะต้องทานหมูปิ้งเป็นอาหารเย็น นั่นไม่ใช่หมูปิ้งนมสดหรือหมูปิ้งที่มีมันแทรกเยอะจนเกินไป แต่คล้ายจะเป็นหมูปิ้งโบราณเหมือนสมัยที่เธอยังเป็นเด็กที่เขาชอบขายหน้าโรงเรียน ราคาเพียงไม้ละไม่กี่บาทเท่านั้น
วันนี้ก็เป็นวันเสาร์อีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ทั้งสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันและตอนนี้จอมทัพก็ยืนอยู่ตรงหน้าของอริสาเรียบร้อย เธอมองไปที่นาฬิกาและเห็นว่าเป็นเวลาเพียงหกโมงเช้าเท่านั้น ทุกครั้งที่เขามาหาจะเช้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไมคุณมาเช้าขนาดนี้” เธออดทึ่งไม่ได้จริง ๆ เพราะในช่วงเวลากลางวันจอมทัพไม่ง่วงนอนเลยด้วยซ้ำ
“แม่ คุณต่างหากที่ตื่นสาย เห็นไหมว่าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว” จอมทัพส่ายหน้าเบา ๆ ให้พฤติกรรมของแม่
อริสาไม่ได้พูดอะไร สมองของเธอเบลอจนคิดคำพูดอะไรไม่ทันทั้งนั้น ตอนนี้ขอเพียงแค่ได้หลับตาก็สามารถนอนต่อได้แล้ว ทว่าจอมทัพไม่ให้เป็นแบบนั้นแน่นอน เขารีบจับมือแม่มาที่ห้องครัวและสั่งให้เธอทำอาหารเช้าทันที
“คุณควรทำอาหารเช้าได้แล้ว พ่อบอกว่าอาหารเช้าสำคัญมาก ต่อให้ไม่หิวก็ต้องกินนะ!”
“พ่อของคุณพูดแบบนั้นเหรอ”
“ใช่ พ่อพูดแบบนั้น” จอมทัพพยักหน้ารัว ๆ “พ่อเป็นพ่อที่สุดยอดมาก”
“แล้วเขาได้พูดหรือเปล่าว่าห้ามกินหมูปิ้ง”
จอมทัพชะงักเพราะความจริงคือพ่อพูดแบบนั้นเช่นกัน แต่เขาไม่เชื่อฟังทำให้ต้องมาอยู่กับแม่ทุกอาทิตย์แบบนี้ “แม่ คุณอย่าเปลี่ยนเรื่อง ไปทำอาหารให้ลูกได้แล้ว”
“คราวหลังก็ทานมาตั้งแต่ที่บ้านสิ คุณจะได้ไม่ต้องหิว”
“ก็ลูกจะทานที่นี่! คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งลูกว่าห้ามทานที่ไหน” เด็กชายกระทืบเท้าไม่พอใจแล้วเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ประจำของตัวเอง
อริสาไม่ได้โต้เถียงอะไร เพียงแค่กลอกตามองบนให้กับพฤติกรรมลูกชาย เธอไม่ได้สนใจเลยว่าเขาจะไปทานอาหารเช้าที่ไหน แต่การที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายมาชี้นิ้วสั่งแบบนี้ มันช่างน่ารำคาญเสียจริง
วันนี้อริสาทำข้าวต้มหมูให้กับจอมทัพได้ลอง เขาทานอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับโยกตัวไปมาอย่างมีความสุข จนอริสาอดสงสัยไม่ได้จึงถามออกไป
“ทำไมวันนี้คุณดูมีความสุขจัง มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นงั้นเหรอ”
“ใช่ วันนี้พ่อของลูกจะกลับมาแล้ว” จอมทัพพูดด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตมีประกายระยิบระยับ “ช่วงนี้งานของพ่อยุ่งมาก ตอนนี้กำลังเดินทางกลับมาที่บ้าน พรุ่งนี้พ่อบอกด้วยว่าจะมารับลูกด้วยตัวเอง!”
อริสาพยักหน้า เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่ได้เจอไอศูรย์อีกเลยหลังจากวันนั้น งานของเขาคงจะยุ่งมากจนไม่มีเวลา ในความทรงจำของร่างเดิมและสิ่งที่เธอเห็นนั้นเหมือนกันมาก เขาทั้งเย่อหยิ่งและชอบมองคนอื่นด้วยสายตาดูแคลน เธอจึงนึกภาพของเขาที่เป็นคนอ่อนโยนไม่ออกเลยสักนิด “พ่อของคุณเขามีนิสัยแบบไหนเหรอ”
“แม่ทำไมถามแบบนี้ล่ะ คุณเจอพ่อมาก่อนลูกอีกนะ!” จอมทัพพูดอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะนึกได้ว่าทั้งสองคนหย่ากันแล้ว นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่แม่ถามคำถามนี้กับเขา “ก็ได้ ลูกจะบอกคุณ”
“พ่อตามใจลูกมาก แล้วก็ชอบซื้อของมาฝากลูกทุกครั้งที่ไปทำงานที่ต่างประเทศด้วยโดยเฉพาะของที่มีรูปปลากระเบน! ทุกครั้งที่พ่อนอนก็จะหลับเร็วมากด้วย ลูกคิดว่าพ่อคงจะเหนื่อยมากแน่เลย” เด็กชายเริ่มเล่าถึงพ่อของเขาและในแววตาคู่นั้นก็เริ่มฉายแววความภูมิใจขึ้นมา
“แต่เวลาที่ลูกดื้อไม่เชื่อฟังพ่อก็จะน่ากลัวมาก ๆ เหมือนกันจนทำให้ลูกร้องไห้เลยนะ! ถึงคนอื่นจะมองว่าพ่อดุและน่ากลัวแต่ลูกไม่คิดแบบนั้น เขา น่ากลัวเฉพาะเวลาที่โกรธเท่านั้นแหละ พ่อบอกเสมอว่าการควบคุมพนักงานหลายพันคนต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังได้”
อริสาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลูกชาย ถึงแม้ลูกชายจะอธิบายการกระทำของพ่อเสียมากกว่าแต่เธอก็พอจะเข้าใจ เขาคงเป็นคนเด็ดขาดแม้กระทั่งกับลูกชาย
“แล้วพ่อก็ไม่ชอบคนทรยศหักหลังด้วย ลูกเคยแอบได้ยินมานะว่าที่บริษัทมีคนโกงแล้วพ่อจัดการขั้นเด็ดขาด! เวลานั้นพ่อน่ากลัวมาก ๆ ลูกไม่กล้าเข้าใกล้เลย” จอมทัพกระซิบกระซาบราวกับกลัวว่าไอศูรย์จะได้ยิน
อริสาถึงกับสะดุ้งตกใจ ในตอนที่ไอศูรย์รู้ว่าร่างเดิมมีชู้เขาจะรู้สึกโกรธมากขนาดไหนกันนะ เขาคงเกลียดเธอเข้าไส้แน่ ๆ ที่กล้าหยามศักดิ์ศรีกันแบบนั้น คงจะโกรธจนอยากจะฆ่าไปเลยด้วยซ้ำ ส่วนร่างเดิมก็คงกลัวมากจนไม่สามารถเผชิญความจริงได้ อริสาถึงได้เข้ามารับกรรมต่อ
“คุณถามทำไม อย่าบอกนะว่าคุณอยากจะกลับไปหาพ่อ!” จอมทัพรีบทักท้วง
“ไม่มีทางหรอก พ่อของคุณเกลียดฉันเข้าไส้ขนาดนั้น” ประโยคหลังเธอพูดในใจเท่านั้น ไม่กล้าบอกให้ลูกชายรู้
“ดีแล้ว คุณอย่าคิดหาทางเลย” เด็กชายกอดอกเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วมองมาที่แม่ด้วยสายตาเวทนา
อริสาไม่ได้คิดจะหาทางกลับไปยุ่งเกี่ยวกับไอศูรย์อยู่แล้ว สำหรับเธอเขาน่ากลัวมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะดูดีและมีเสน่ห์แต่ก็เป็นคนเด็ดขาด หยิ่งทะนง และถ้าเดาไม่ผิดคงจะเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นกัน อริสาคิดว่าโชคดีเพียงอย่างเดียวของเธอคือการที่อดีตสามีไม่ตามมาล้างแค้นต่างหากล่ะ