คำอ้อนวอนหรือคำขู่
ไอศูรย์ขยับชุดสูทเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินตรงไปหาอริสาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทันทีที่มาถึงเขายื่นมือทั้งสองข้างจับที่พักแขนไว้เพื่อกักขังไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปไหนได้ ขณะที่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เกือบจะชนกัน จนเธอได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวเขา
เขามองเข้าไปในแววตาของอีกฝ่ายและอยากจะเห็นอาการตกใจกลัวของเธอ แต่อริสากลับนิ่งเฉยไม่มีความตื่นกลัวแถมยังจ้องตาเขากลับคืนเสียด้วย ไอศูรย์เห็นแบบนั้นมุมปากก็ยกขึ้นยิ้มอย่างพอใจ จากดวงตาที่เคยมองมาด้วยความเย็นชาก็เผยประกายความสนใจออกมาแทน
“อริสา อันที่จริงหลังจากที่พวกเราเลิกกันไปก็ควรจะแบ่งการเลี้ยงดูลูกคนละครึ่ง ผมไม่ใช่คนใจแคบอะไรที่จะกีดกันคุณกับลูกไม่ให้เจอกัน แต่ในเมื่อคุณงานยุ่งไม่มีเวลามาดูแลลูกชายงั้นเอาแบบนี้ดีไหม ค่าเลี้ยงดูบางส่วนก็ให้คุณเป็นคนจัดการแล้วกัน”
คำพูดของเขาเริ่มกดดันเธอทีละนิด แม้น้ำเสียงที่ใช้จะราบเรียบไม่น่ากลัวแต่กลับสร้างความอึดอัดได้เป็นอย่างดี
“ตอนนี้จอมทัพยังเด็กใช้เงินแค่ปีละไม่กี่ล้านเท่านั้นเอง ถึงนั่นยังไม่รวมค่าจิปาถะต่าง ๆ ในระหว่างนั้นด้วย แต่จะว่าไปเงินเล็กน้อยแค่นั้นคงไม่ลำบากอะไรคุณหรอกใช่ไหม ก็คุณทำงานยุ่งขนาดนั้นนี่นะ” ประโยคสุดท้ายคล้ายเขาพูดกับตัวเองแต่อริสารู้ดีว่านั่นเป็นคำประชดต่างหาก
‘คำพูดแบบนี้ใช่การอ้อนวอนซะที่ไหนกัน นี่เรียกว่าขู่ต่างหาก’ อริสาคิดในใจ นึกเอาไว้แล้วว่าคนแบบเขาคงขอร้องใครไม่เป็นหรอก แถมยังมีหน้ามาบอกด้วยว่าไม่ใช่คนใจแคบ
ใช่ เขาไม่ใช่คนใจแคบแต่เป็นพวกใจยักษ์ใจมารต่างหาก!
“เป็นไงบ้าง คำอ้อนวอนของผมพอจะทำให้คุณใจอ่อนบ้างไหม” เขากระซิบถามข้างหูอริสา
“วันเดียว ฉันจะดูแลเขาวันเดียว” เธอพูดด้วยความไม่เต็มใจ ค่าเทอมและค่าเลี้ยงดูของจอมทัพแพงมาก คนธรรมดาที่พึ่งทะลุมิติมาแบบเธอจะมีเงินมาส่งเสียเลี้ยงดูลูกมหาเศรษฐีได้อย่างไร
แม้ตอนนี้จะมีเงินเก็บแต่คงเลี้ยงดูคุณชายบ้านนั้นได้เพียงไม่กี่สัปดาห์แถมเพนต์เฮาส์ราคาแพงนั่นก็ใช่ว่าขายออกได้ง่าย ๆ อริสารู้ว่าหากไม่ตกปากรับคำเขาไป อีกฝ่ายก็คงจะบีบบังคับเธอทุกวิถีทางแน่
เธอไม่ได้มีปัญหาหรือไม่ได้เกลียดเด็กแต่นิสัยของจอมทัพยากที่จะรับมือ ในนิยายบรรยายไว้ว่าเขาเป็นเด็กดื้อด้าน เอาแต่ใจ ไม่ฟังใครและชอบทำตามในสิ่งที่ต้องการ และเมื่อได้เจอตัวจริงของจอมทัพเข้าไปก็ถึงกับต้องกุมขมับ คนเดียวที่จะควบคุมเขาได้คือนางเอกนิยายอย่างมิราเท่านั้น
ส่วนอริสาก็ไม่ใช่นางเอกนิยายแต่ดันเป็นนางร้ายปลายแถวต่างหาก ดังนั้นถ้าอยากจะรักษาชีวิตของตัวเองก็ควรเลือกที่จะพบเจอกันให้น้อยที่สุดดีกว่า
“ก็ได้ งั้นคุณดูแลเขาวันอาทิตย์แล้วกัน ส่วนวันจันทร์ตอนเช้าก็ส่งเขาไปโรงเรียนด้วย” ไอศูรย์พูดสรุปเองเสร็จสรรพ
อริสามองด้วยความสับสนมึนงง เธอไม่มีรถยนต์จะขับไปส่งลูกชายด้วยซ้ำ “ไม่ได้ ให้จอมทัพมาหาฉันวันเสาร์ส่วนวันอาทิตย์คุณค่อยมารับเขากลับไป”
ไอศูรย์ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะสำหรับเขาวันไหนก็ไม่ต่างกัน “งั้นก็ตกลงตามนั้น” พูดจบเขาก็ถอนมือทั้งสองข้างกลับไป กลิ่นน้ำหอมที่ลอยอบอวลอยู่รอบตัวเธอเมื่อสักครู่เริ่มจางหายไปทีละน้อย “ธุระของพวกเรามีแค่นี้ ผมไปล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน” อริสาเรียกเขาไว้
แม้ไอศูรย์จะไม่ได้ตอบอะไรแต่เขาก็หยุดและหันมามองหน้าเธอ
“หลังจากที่เลิกกับคุณไป ฉันพึ่งรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์การดูดวงด้วย คุณอยากจะรู้อนาคตตัวเองหน่อยไหม”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย” เขามองอย่างสนใจ ก่อนจะก้มมองดูนาฬิกาแล้วพบว่าใกล้จะถึงเวลานัดถัดไปแล้ว แต่ในเมื่ออดีตภรรยาพูดมาขนาดนี้แล้วเขาก็คงปฏิเสธไม่ได้ “งั้นลองพูดมาสักหน่อยแล้วกัน”
“อีกไม่นานคุณจะตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง” เธอเชิดหน้ามองและเห็นมุมปากของอีกฝ่ายยกขึ้นคล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด อริสายิ่งเห็นแบบนั้นก็ยิ่งได้ใจจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดด้วยความเสียดาย “แต่ไม่ต้องกังวลเพราะเธอคนนั้นไม่ได้รักคุณหรอก”
“แปลว่าเธอคนนั้นคงสายตาแย่มาก แต่คงไม่มีใครสายตาแย่ไปกว่าคุณแล้วล่ะ จริงไหม” เขายอกย้อนเธอที่ดันไปคว้าก้อนกรวดทั้งที่มีเพชรเม็ดโตอยู่ในมือแท้ ๆ
พูดจบก็ยิ้มอย่างเวทนาให้อดีตภรรยาที่ทำหน้าอึ้งอยู่แล้วเดินออกจากร้านไปอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่คิดว่ามาวันนี้อาจจะเสียเวลาแต่พอเอาเข้าจริงก็สนุกไม่น้อย
หลังจากที่ไอศูรย์เดินออกไปแล้วอริสาก็เดินจากไปเช่นกัน “ผู้ชายคนนี้ปากร้ายชะมัด” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นหวัง รู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนสมองเร็วที่จะโต้ตอบฝีปากกับชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
ได้แต่นึกสงสัยว่าหากในนิยายไม่มีจอมทัพมาคอยเตือนสติ อดีตสามีอย่างเขาคงได้เป็นตัวร้ายจริง ๆ แน่นอน
ช่วงดึกวันนั้นอริสากำลังนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับ ‘เด็กดื้อ’ อย่างจอมทัพให้ถูกต้อง แม้เขาจะเป็นเพียงเด็กวัยห้าขวบแต่พลังทำลายล้างก็มีมหาศาล ทางที่ดีเธอควรหาวิธีรับมือและป้องกันเอาไว้ก่อน
ในแหล่งข้อมูลกล่าวเอาไว้ว่าการต่อต้านพ่อแม่เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและพัฒนาการของเด็ก พวกเขากำลังทดสอบกรอบที่เหล่าพ่อแม่ได้วางเอาไว้เพื่อดูว่ากรอบนี้เข้มงวดและแข็งแรงมากแค่ไหน
“เด็กที่ชอบร้องไห้เอาแต่ใจ พ่อแม่ควรใช้เทคนิคเพิกเฉยทันที” อริสาอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ “การเพิกเฉยเป็นสิ่งที่ฉันถนัดที่สุดเลย”
“แต่ถ้าเด็กเริ่มทำร้ายตัวเองหรือปาข้าวของ ให้หยุดพฤติกรรมนั้นของพวกเขาและมองหน้าลูกนิ่ง ๆ พร้อมบอกให้พวกเขาหยุด จากนั้นก็กลับไปเพิกเฉยต่อ” อริสานึกถึงตอนที่เด็กชายนอนลงไปดีดดิ้นบนพื้น เธอคิดว่าการกระทำนั้นก็คงจะเป็นเหมือนประโยคที่อ่านเมื่อครู่
“ถ้าหากเด็กเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว พ่อแม่ควรเดินเข้าไปคุยกับพวกเขา อาจจะเป็นการถามไถ่ ชม หรือหากิจกรรมอื่น ๆ ให้เด็กทำเพื่อเป็นการปลอบพวกเขา” เธอนึกถึงวันนั้นอีกครั้ง อริสาไม่ได้ทำตามคำแนะนำนี้ แม้ว่าจะพูดคุยกับเขาแต่บทสนทนากลับไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก มันค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางคำขู่มากกว่า
‘นี่ฉันเป็นผู้ใหญ่แบบไหนกันนะ’
อริสารู้สึกละอายใจกับลูกชายขึ้นมาบ้างแล้ว แม้ว่าเธอจะเป็นคนใจเย็นแต่การที่ได้อยู่กับเด็กอย่างจอมทัพก็ทำให้เกิดอารมณ์เสียขึ้นมาได้เช่นกัน ดังนั้นอริสาจึงคิดเอาไว้แล้วว่านับแต่นี้จะต้องมีสติและไม่ทำตัวเหมือนอย่างวันนั้นอีกเด็ดขาด