ตอนที่ 8 ค้างแรมในป่ากว้าง
ตอนที่ 8
ก่อนที่แสงแห่งราตรีกาลจะมาเยือน ก้งเยว่สั่งให้หยุดรถม้า เพื่อหาที่ปลอดภัยข้างแรมภายในบริเวณป่าบนภูเขาแห่งหนึ่ง หลังจากลงจากรถม้า เขาก็กระชากปลายเชือก พาตัวคนที่เขาพยายามคิดว่านางคือทาส ที่เขาจะทำอะไรก็ได้ จากนั้นก็ผูกปลายเชือกเข้ากับต้นไม้
“นั่งอยู่ดี ๆ อย่าได้คิดหนีเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นข้าไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้า”
เมื่อกล่าวกับหญิงสาวจบ ชายหนุ่มก็ขยับไปทิ้งตัวลงนั่งหน้ากองไฟที่สารถีลงมือก่อขึ้น
ดูเอาเถิดว่าชายหนุ่มใจดำกับหญิงสาวมากขนาดไหน ต้นไม้ที่ให้หญิงสาวนั่งพักอยู่ห่างจากกองไฟมากพอสมควร ได้รับเพียงแสงสว่าง แต่ไออุ่นกลับไม่รู้สึกถึงเลยแม้แต่น้อย
ฉิงซวี่เบะปากกับคำสั่งของอีกฝ่าย มีหรือที่นางจะเชื่อฟัง ใครจะโง่ยอมอยู่ให้ทรมานไปเรื่อย ๆ สู้หาทางหนีเอาตัวรอด ไปตายเอาดาบหน้าไม่ดีกว่าหรือ
คืนนี้แหละ รอให้ทุกคนหลับหมดก่อน นางจะหาทางแก้มัดเชือกที่ผูกข้อมือติดกัน แล้วหนีให้ห่างจากคนใจร้าย จากนั้นก็ใช้ชีวิตตามแบบที่ตัวเองมีความสุข หาผู้ชายหล่อ ๆ นิสัยดีสักคนมาเป็นพ่อของลูก
เพียงแค่คิดใบหน้าของหญิงสาวก็ผ่อนคลายขึ้น ความเหนื่อยเพลียบวกกับต้องการเอาแรง หญิงสาวจึงทิ้งกายลงนอนไปบนพื้นดิน หลับสนิทไปแทบจะในทันที
จนกระทั่งปลายจมูกได้สูดดมกลิ่นหอมอันแสนยั่วน้ำลายในปากเข้าไปเต็มปอด หญิงสาวจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
พอสายตาเหลือบไปเห็น คนใจดำกำลังฉีกกินเนื้อไก่ย่างอย่างเอร็ดอร่อย หญิงสาวก็รีบยันกายลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตาหงส์ จ้องมองไก่ที่เสียบไม้ส่วนที่เหลือตาเป็นมัน
หนานลู่เห็นหญิงสาวตื่นแล้ว จึงดึงมีดสั้นออกมา ตัดไก่ป่าย่างออกเป็นชิ้น ๆ วางลงบนใบไม้ขนาดใหญ่ หวังจะนำไปให้หญิงสาวรับประทาน
“เจ้าจะทำอะไร”
แต่หนานลู่ก็ต้องชะงักความคิดในสิ่งที่จะทำ เมื่อเสียงเข้มดังขึ้น พร้อมสายตาหรี่เล็กจับจ้องมองการกระทำของเขาอยู่
“อะ...เอ่อ แม่นางฉิงซวี่คงหิว ข้าเลยจะนำเนื้อไก่ย่างไปให้นาง”
“ไม่ต้อง ข้ายังกินไม่อิ่ม” ก้งเยว่พูดพลางแทะเนื้อไก่เกือบครึ่งตัวที่เขาถืออยู่ในมือ หางตามองสาวงามที่นั่งกลืนน้ำลายอยู่ห่าง ๆ “ส่วนที่เหลืออีกครึ่ง เจ้ายังต้องแบ่งกับสารถีอีก แบบนี้จะพอกินกันได้อย่างไร”
“หึ เจ้าเก็บไว้กินเถอะ ข้าไม่เห็นจะหิวเลย แค่ไก่ย่าง ไม่อร่อยเท่าอาหารที่ข้าเคยกินหรอก”
กล่าวจบฉิงซวี่ก็สะบัดหน้าใส่ผู้ชายใจดำนั้น ทิ้งกายลงนอนกอดอกหันหลังให้คนทั้งหมด ไม่สนเสียงท้องที่กำลังส่งเสียงประท้วง ว่าอยากได้อาหารลงไปประทังความหิว
...รอให้แม่หนีไปได้ก่อนเถอะ จะหาเงินตั้งตัวจนกลายเป็นเศรษฐินี ยามนั้นไก่ป่าร้อยตัว แม่จะซื้อมากินให้พุงแตกเลย...
หญิงสาวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ เปลือกตาทั้งสองปิดแน่น หวังว่าการไม่เห็นจะบรรเทาความหิวลงไปได้บ้าง แต่เปล่าเลย จมูกโด่งได้รูปยังคงได้กลิ่นหอมโชยตามกระแสลมมา
ส่วนคนตัวโตที่นั่งกัดกินไก่อวดหน้าอวดตาอีกฝ่ายในตอนแรก พอได้ยินคำพูดของหญิงสาว ไก่ป่าที่กัดกินได้ไม่ถึงสิบคำก็พลันหมดรสชาติ
...ของอร่อยที่นางว่า คงเคยได้กินจากจวนสกุลหลี่ ชายชู้ที่นางหนีตามนั้น คงหาแต่ของดี ๆ ให้กินกระมัง...
แค่คิดใบหน้าคมเข้มบูดบึ้ง แสดงอาการออกมาแบบไม่รู้ตัว
“เอาไปกิน แล้วอย่าแบ่งให้นางกินเป็นอันขาด”
หลังจากยื่นไก่ย่างให้บ่าวคนสนิทเสร็จ ก้งเยว่ก็ทิ้งกายลงนอน โดยนอนตะแคงหันหลังให้หญิงสาวเหมือนกัน
หนานลู่มองอาการของผู้เป็นนาย พลางลอบยิ้มออกมา ปากก็บอกว่าเกลียดชังแม่นางฉิงซวี่มาก ตอนสั่งให้รถม้าวิ่งเร็ว พอเห็นว่าหญิงสาววิ่งจนเหนื่อยใกล้จะไม่ไหว ก็รีบเปลี่ยนให้เคลื่อนไปช้า ๆ มาตอนนี้พออีกฝ่ายพูดเป็นนัย ๆ ถึงชายหนุ่มคนใหม่ ก็แสดงอาการฮึดฮัดออกมาอีก...ไม่รู้ภายในใจจะเกลียดชังอย่างที่ปากพูดหรือเปล่า คงต้องคอยดูกันต่อไป
เวลาผ่านไปสักพัก หนานลู่สังเกตลมหายใจของผู้เป็นนายเริ่มสม่ำเสมอ จึงหยิบใบไม้ที่ห่อไก่ย่างขึ้นมา ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ร่างบอบบางเท่าที่จะมากได้
“แม่นางฉิงซวี่ หลับหรือยัง” ชายหนุ่มเรียก พยายามส่งเสียงให้แผ่วเบาที่สุด
ท้องร้องขนาดนี้หลับลงก็บ้าแล้ว เรี่ยวแรงจะหนีก็ยังไม่รู้จะมีหรือเปล่า...หญิงสาวนอนนิ่งคิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล่าวคำใดออกมา
“ข้านำไก่ย่างมาให้”
หนานลู่เห็นหญิงสาวนอนขยุกขยิกไม่เป็นสุข จึงรู้ว่ายังไม่หลับ ถึงได้รีบกล่าวออกมา ดวงตาก็คอยจับจ้องไปทางแผ่นหลังกว้าง ว่ามีวี่แววจะหันกลับมาหรือเปล่า
ไก่ย่าง...พอได้ยินคำนี้ ฉิงซวี่รีบกระเด้งตัวผุดลุกขึ้นนั่ง หันหน้ากลับไปประจันหน้ากับบ่าวคนสนิทของผู้ชายใจดำนั้น พร้อมกับยกมือขึ้นสูง ให้เท่ากับสายตาของอีกฝ่าย
“มือข้าถูกมัดแบบนี้ จะกินได้อย่างไร”
หนานลู่มองตามสายตาของหญิงสาว ลังเลใจอยู่สักพัก แต่พอคิดได้ว่าตัวเองก็นั่งเฝ้าอยู่ คงไม่สามารถหนีไปไหนได้ ชายหนุ่มจึงยอมแก้เชือกเส้นนั้นออก
พอมือได้รับอิสระ หญิงสาวรีบหยิบเนื้อไก่ที่ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ขึ้นมากัดแทะกิน ด้วยความหิวหญิงสาวจึงได้ไม่รักษาภาพลักษณ์ กินไก่ป่าย่างอย่างตะกละตะกลาม
“ค่อย ๆ กินก็ได้ เดี๋ยวจะติดคอเอา”
“ไม่ได้ เดี๋ยวหมอนั้นตื่น ข้าจะอดกินอีก” ฉิงซวี่ตอบทั้ง ๆ ที่ภายในปากอัดแน่นไปด้วยชิ้นเนื้อ
ใช้เวลาไม่นาน ไก่ทุกชิ้นก็เหลือเพียงกระดูก พอเห็นอีกฝ่ายอิ่มหนำดีแล้ว หนานลู่ก็หันหลังจะไปหยิบน้ำดื่มมาให้
...จังหวะนี้แหละ...
ฉิงซวี่คิดจะใช้โอกาสนี้วิ่งหนีเข้าไปในความมืด แต่พอมองเห็นเศษกระดูกไก่ หญิงสาวก็สำนึกในบุญคุณ ที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ฝ่าฝืนคำสั่งแอบนำมาให้ตนเอง จึงได้หย่อนก้นนั่งลงตามเดิม
“รีบดื่มน้ำล้างมือ ก่อนที่คุณชายจะตื่น”
ฉิงซวี่รับกระบอกน้ำขึ้นมาดื่ม และล้างมือจนสะอาดดีแล้ว ก็ยื่นสองมือออกไปให้ชายหนุ่มมัดเอาไว้อย่างว่าง่าย
หนานลู่แปลกใจ ที่หญิงสาวไม่ฉวยโอกาสตอนที่เขาเผลอหันหลัง แอบหนีไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หยิบเชือกเส้นเดิมมาจัดการมัดมือของหญิงสาวเอาไว้ตามเดิม จากนั้นก็กลับไปนั่งเอนหลังพิงกับต้นไม้ใหญ่ หลับตาลงพักสายตาสักครู่
ก้งเยว่ลืมตาขึ้นทันที ที่เสียงฝีเท้าของคนสนิทกลับมานั่งลงประจำที่ และเสียงของหญิงสาวทิ้งตัวลงนอนตามเดิม เมื่อทุกอย่างอยู่ในความสงบอีกครั้ง เขาถึงได้หลับตาลง
เวลาเคลื่อนผ่านน่าจะเลยช่วงเที่ยงคืนไปแล้ว แพขนตางอนค่อย ๆ ปรือเปลือกตาขึ้น ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ขยับตัวที่นั่งทับมีดสั้นเอาไว้ มีดเล่มนี้หล่นจากชายแขนเสื้อของหนานลู่ ตอนที่เขาหันไปหยิบน้ำมาให้นางดื่ม นางเลยถือโอกาสหยิบมีดนั้นมาซ่อนเอาไว้
หลังจากพยายามอยู่นาน หญิงสาวก็สามารถใช้มีดที่แอบซ่อนเอาไว้ แก้มัดเชือกได้สำเร็จ เมื่อได้รับอิสระ นางก็ไม่รอช้า ค่อย ๆ ย่องหนีเข้าไปในป่าด้านหนึ่ง
“จะหนีไปไหน” เป็นเสียงของสารถี ที่กลับมาจากการไปปลดทุกข์ ทันได้เห็นนักโทษของนายกำลังจะหลบหนีพอดี
ฉิงซวี่ไม่รอช้าอีกต่อไป รีบออกตัววิ่งฝ่าความมืดยามราตรี ไม่สนว่าข้างหน้าจะมีอะไรขวางทางอยู่ หรือจะมีอันตรายอันใดหรือไม่
“คุณชาย หนานลู่แม่นางฉิงซวี่วิ่งหนีไปแล้ว” สารถีตะโกนเสียงดังอีกรอบ ก่อนจะวิ่งติดตามหญิงสาวไป
เสียงตะโกนของสารถี ทำให้ชายหนุ่มสองคน ที่เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ สะดุ้งสุดตัว พอตั้งสติรับรู้อะไรเป็นอะไร ก็พากันลุกขึ้นวิ่งตามหลังสารถีไปอีกที
“หนานลู่ หากนางหนีไปได้ เจ้าจะได้รับโทษแน่” ก้งเยว่มองบ่าวคนสนิทตาเขียว เขาไม่เชื่อว่าหญิงสาวเช่นฉิงซวี่จะมีแรงแก้มัดเชือก หากไม่มีตัวช่วยอื่น...