ตอนที่ 9 ตายก็ตายไปด้วยกัน
ตอนที่ 9
“โอ๊ย”
การวิ่งอยู่ในป่ายามกลางคืนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีแสงสว่างจากพระจันทร์เสี้ยวอยู่บ้าง คนที่ไม่คุ้นชินกับการเดินป่าอย่างแก้วตา จึงเที่ยวสะดุดกิ่งไม้บ้าง เถาวัลย์บ้าง ล้มลุกคลุกคลาน จนเกิดบาดแผลถลอกตามร่างกาย
แม้จะล้มไปกองอยู่กับพื้นสักกี่ครั้ง หญิงสาวก็ยังกัดฟันทน ยันกายลุกขึ้นยืน ออกวิ่งไปข้างหน้าแบบไม่คิดชีวิต หวังจะหนีให้พ้นจากเงื้อมมือของบุรุษใจดำผู้นั้นให้ได้
ทางด้านก้งเยว่กับหนานลู่ ที่วิ่งมาจนทันสารถี ผู้ซึ่งหยุดวิ่งเหลียวมองซ้ายขวาสลับกับด้านหน้าของตัวเอง
“นางหนีไปทางไหน” ผู้เป็นนายเอ่ยถามทันทีที่มาถึงตัว
“อะ...เอ่อ”
สารถีแม้จะวิ่งไล่ตามหญิงสาวมาติด ๆ ก็ยังคงคลาดสายตากับนางอยู่ดี พอมาถึงบริเวณนี้ เขาก็ไม่แน่ใจแล้ว ว่าอีกฝ่ายหายไปทางไหน
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” ก้งเยว่สบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันไปสั่งการกับบ่าวทั้งสอง
“หนานลู่ไปทางขวา ส่วนเจ้าไปทางซ้าย ข้าจะไปตามหานางด้านนี้เอง”
จากนั้นทั้งสามคนก็แยกย้ายกันออกตามหาแม่นางฉิงซวี่ที่หลบหนี ผู้หญิงตัวเล็กบอบบางแบบนั้น ยังไม่น่าจะหนีไปไหนได้ไกล
ก้งเยว่วิ่งตรงไปด้านหน้า สายตาของเขาพอจะคุ้นชินกับแสงสลัวแบบนี้ เพราะสมัยก่อน เขามักตามบิดาเข้าป่าล่าสัตว์อยู่บ่อย ๆ อุปสรรคที่จะสะดุดก้อนหินหรือเครือเถาวัลย์ล้มจึงไม่มี
...ไปอยู่ไหนของนางนะ ยิ่งเข้าป่าลึก ยิ่งมีแต่สัตว์ดุร้ายอยู่มาก...
...นี้เขาเป็นห่วงนางงั้นหรือ...ไม่...ผู้หญิงแบบนั้น จะเป็นอะไรก็ช่าง เขาแค่ห่วงว่าจะยังไม่ได้แก้แค้น ในสิ่งที่นางทำต่างหาก...
ชายหนุ่มขับไล่ความคิดไม่รักดีออกจากหัวสมอง ยังคงกวาดสายตามองไปโดยรอบ จนกระทั่งมองเห็นอะไรเคลื่อนไหวอยู่ทางขวามือของเขา ก้งเยว่จึงชะลอฝีเท้า เกรงว่าอาจจะเป็นสัตว์ใหญ่ แต่พอเพ่งพินิจมองฝ่าความมืดไปดี ๆ นั้นคือฉิงซวี่นี้นา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงเข้มตะโกนออกไปทันที
ฉิงซวี่หันกลับมามองแวบหนึ่ง พอเห็นว่าเป็นใครที่ตามมา ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ไม่คาดคิดว่าหมอนี่จะตามมาเร็วถึงขนาดนี้
“จมูกดีกว่าเจ้าตูบที่บ้านเสียอีก”
หญิงสาวบ่นออกมา สองเท้ายิ่งขยับวิ่งหนีให้เร็วกว่าเดิม ไม่สนใจว่าเส้นทางตรงหน้าจะเริ่มลาดชันลง ต้นไม้ก็เริ่มบางตา
ก้งเยว่ที่วิ่งไล่ตามหลังมาติด ๆ คิดอะไรขึ้นมาได้ ว่าบนภูเขาลูกนี้ เขาเคยตามบิดามานั้น มีหน้าผาสูงชันซ่อนอยู่
...หรือว่า...
“ซวี่เอ๋อร์ระวัง อย่าวิ่ง”
แต่ช้าไปเสียแล้ว ร่างของคนตัวเล็กตอนนี้ ที่ออกวิ่งด้วยความเร็ว เกิดเสียหลักสะดุดล้มอีกครั้ง เท่านั้นไม่พอร่างบางยังกลิ้งไถลลงไปตามทางที่ลาดชันลง
“ว้าย...ช่วยด้วย”
ฉิงซวี่เสียขวัญพยายามจะหาสิ่งยึดเหนี่ยว เพื่อหยุดการไถลตัวครั้งนี้ แต่กลับไม่เป็นผล เมื่อในที่สุด ร่างทั้งร่างก็มาสุดอยู่ขอบหน้าผา แล้วร่วงหล่นไปในที่สุด
“ตายแน่” คนงามหลับตาแน่น
“ซวี่เอ๋อร์”
โชคยังคงเข้าข้างหญิงสาวอยู่บ้าง เมื่อคนตัวโตกว่า ทุ่มสุดชีวิต กระโจนลงมา ใช้มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือของฉิงซวี่เอาไว้แน่น ส่วนมือข้างที่เหลือ จับกิ่งไม้ขนาดไม่ใหญ่มาก ที่ยื่นออกมาจากซอกหิน
หญิงสาวที่คิดว่าตัวเองคงได้ตายรอบสอง เหมือนได้ยินบุรุษใจดำผู้นั้นเรียกชื่อนาง ราวกับเป็นคนรัก จึงลืมตาขึ้นมอง พบว่าตอนนี้ทั้งนางและก็เขากำลังห้อยต่องแต่งอยู่ใต้หน้าผา มีเพียงมือข้างขวาของชายหนุ่มเท่านั้น ที่จับยึดกิ่งไม้ขนาดเล็กเอาไว้แน่น
“คุณชาย”
“เงียบ ๆ เก็บแรงเอาไว้รักษาชีวิตให้รอดก่อน”
ชีวิตรอด...ในสถานการณ์เช่นนี้ จะยังมีความหวังอีกหรือ ว่าจะมีชีวิตรอด หากให้นับเวลาถอยหลัง ว่ากิ่งไม้นั้นจะหักเมื่อไร หรือชายหนุ่มจะทนรับน้ำหนักของนางไหวแค่ไหน เห็นจะเป็นความจริงมากกว่า
ดวงตาคู่งามมองลงไปเบื้องล่าง ที่ไม่สามารถมองเห็นว่าบนพื้นด้านล่างหน้าผาเป็นผืนน้ำหรือพื้นดิน ด้วยความสูงขนาดนี้ หากตกลงไป ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
ตัวของนางนั้นเคยตายไปแล้วหนหนึ่ง หากจะต้องตายอีกรอบก็คงไม่น่ากลัวอะไร แต่ว่าชายหนุ่มที่พยายามยื้อชีวิตของเขาและนางนี้สิ เขามีใครที่รออยู่เบื้องหลังหรือเปล่า
‘เขาจะตายไม่ได้’
อยู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา เป็นเสียงที่ทำให้คนฟัง ขนลุกไปทั้งตัว
“ใครพูดนะ ช่วยด้วย พวกเราอยู่ตรงนี้”
ฉิงซวี่ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน จึงคิดว่าอาจจะมีคนอยู่บนขอบหน้าผาก็ได้ เลยตะโกนขอความช่วยเหลือ
ก้งเยว่ตกใจจนมือเกือบจะหลุดจากกิ่งไม้ ที่อยู่ ๆ หญิงสาวก็ตะโกนขึ้นมา
“เป็นบ้าอะไร ข้าตกใจจนเกือบจะปล่อยมืออยู่แล้ว”
“บ้าที่ไหน ท่านไม่ได้ยินเสียงคนพูดหรืออย่างไร บางทีคนของท่านอาจจะตามคนมาช่วยพวกเราก็ได้”
“เสียงใครพูด ข้าอยู่ใกล้ขอบหน้าผากว่าเจ้า ยังไม่ได้ยินเลย”
กล่าวจบใบหน้าหล่อเหลาก็เริ่มบิดเบี้ยว มือข้างที่จับยึดกิ่งไม้ เริ่มเป็นเหน็บชา ส่วนมืออีกข้างที่จับข้อมือบางเอาไว้ ก็เริ่มปวดร้าว เพราะต้องแบกรับน้ำหนักตัวของหญิงสาวเอาไว้
‘ไม่มีใครได้ยินเสียงข้าหรอก นอกจากเจ้า’
พอได้ยินแบบนี้ฉิงซวี่ก็รีบหุบปากให้สนิท หากนางได้ยินเสียงคนเดียว แสดงว่าเสียงนั้นก็ต้องไม่ใช่คนอย่างแน่นอน
‘ขอร้อง อย่าปล่อยให้เขาตายนะ ลูก ลูกข้าจะถูกนางมารร้ายรังแก’ เสียงโหยหวนนั้นแผ่วเบาเลื่อนลอยลงไปทุกที ๆ แล้วทุกสิ่งก็กลับสู่สภาวะปกติ
หรือว่าเจ้าของเสียงจะคือวิญญาณของเจ้าของร่างที่นางอาศัยอยู่ แล้วทำไมต้องเป็นห่วงบุรุษใจดำผู้นี้ ที่อยากจะรังแกเจ้าของร่าง ไหนจะยังเรื่องลูกอีก...ตกลงคนพวกนี้เกี่ยวข้องอะไรกันแน่
หญิงสาวเต็มไปด้วยความสงสัย ระหว่างที่ตกอยู่ในความคิด คล้ายกับมีหยดน้ำหล่นลงมาบนศีรษะของนาง ฉิงซวี่จึงแหงนใบหน้าขึ้นมองด้านบน จากแสงสว่างเพียงเล็กน้อย พบว่าใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ คิ้วขมวดมุ่น อาจจะเป็นเพราะต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดจากการแบกรับน้ำหนักของคนสองคนไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
และไม่รู้ว่าเขาจะยังทนอยู่ในสภาพนี้ได้อีกนานแค่ไหน คงจะได้ไม่นานหรอก แต่ถ้าไม่มีนางคอยเป็นตัวถ่วง เขาก็ยังจะพอมีหวังที่จะมีชีวิตรอด
“คุณชาย ปล่อยมือข้าเถอะ” หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฉิงซวี่จึงเอ่ยออกมา
ก้งเยว่ที่กำลังรวบรวมพลังทั้งหมด ตั้งสมาธิอยู่กับทั้งสองมือ ก้มลงมองสบสายตาแน่วแน่ของหญิงสาว ที่กล้าเอ่ยประโยคนั้นออกมา
“ถ้าข้าปล่อยเจ้าก็ตกไปตาย”
“ตายก็ช่าง ข้าไม่กลัว ข้าเคยตายไปแล้วหนหนึ่ง แต่ขืนคุณชายยังดื้อรั้น ท่านอาจจะตายด้วยเช่นกันนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ปล่อย ถ้ารอดก็รอดด้วยกัน ถ้าตายก็ตายไปพร้อมกันนี้แหละ” น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่แพ้แววตาของหญิงสาว...