ตอนที่ 7 สาเหตุของความคับแค้นใจ
ตอนที่ 7
“ซวนเอ๋อร์ ลี่เอ๋อร์อยู่ไหนลูก”
เสียงทุ้มร้องเรียกหาบุตรชายบุตรสาววัยเจ็ดขวบ ที่หายออกมาจากจวน หลังจากบ่าวในจวนไปรายงานว่า ตามหาเด็กทั้งสองจนทั่วทุกเรือนภายในจวนเสิ่นแล้ว แต่ก็ไม่พบตัว นอกจากเด็กทั้งสองที่หายตัวไป ยังมีเสิ่นฮูหยินที่ก็ไม่ได้อยู่ในจวนเช่นเดียวกัน
“หรือว่าฮูหยินจะพาคุณชายกับคุณหนูไปเที่ยว”
หนานลู่เอ่ยขึ้น หลังจากเกณฑ์บ่าวไพร่ออกช่วยกันตามหาตามตรอกซอกซอยละแวกใกล้เคียง ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา
“ไม่มีทางซวี่เอ๋อร์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง นางไม่พาเด็ก ๆ ออกมาตากความหนาวเย็นนอกจวนแน่ ต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ สั่งการให้คนของเราขยายเขตการค้นหา และส่งคนไปแจ้งที่ทำการผู้ว่าให้ช่วยส่งคนค้นหาอีกแรง”
ก้งเยว่ไม่อาจนิ่งนอนใจ คิดว่าภรรยากับลูก ๆ เพียงแค่ออกไปท่องเที่ยว เพราะโดยปกติหากจะออกไปไหน ฮูหยินจะต้องรายงานให้เขาทราบทุกครั้ง
หนานลู่เห็นผู้เป็นนายร้อนใจ รีบรับคำสั่ง แล้วถ่ายทอดคำสั่งให้บ่าวไพร่ออกค้นหาต่อไป ให้ทั่วเมืองและหมู่บ้านใกล้เคียง
ก้งเยว่เองก็ใช่ว่าจะทนรอนิ่งเฉยอยู่ได้ เขากระชับเสื้อขนสัตว์ให้แนบกับลำตัว จากนั้นก็เดินออกตามหาแก้วตาดวงใจของเขาต่อ นอกจากนี้ยังคอยสอบถามชาวบ้านไปตลอดเส้นทางการค้นหา ว่ามีผู้ใดพบเจอพวกเขาหรือไม่
“อ้อ แม่นางเสิ่นนะหรือ เมื่อช่วงสาย ๆ ข้าเห็นนางหอบหิ้วหีบเสื้อผ้า คล้ายกำลังรอใครอยู่ทางหน้าประตูจวน ตอนแรกนึกว่ารอคุณชาย กำลังจะเข้าไปสอบถามว่าจะไปไหนกัน รถม้าคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดเทียบ ไม่นานชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง ลงมาประคองกอด พาตัวนางขึ้นรถม้า แล้วเคลื่อนออกไป เด็กน้อยทั้งสอง พากันร้องไห้เรียกหามารดา วิ่งตามหลังรถม้าไป ข้าจะตามเด็ก ๆ ไป แม่ข้าก็ป่วยต้องรีบพาไปหาหมอ จึงไม่ได้เห็นว่าเด็ก ๆ กลับเข้าจวนหรือยัง” ชายวัยกลางคน พึ่งกลับจากโรงหมอ พอได้ทราบว่าเด็กน้อยทั้งสองยังไม่กลับเข้าจวน จึงรีบมารายงานคุณชายก้งเยว่
“ท่านพอจะบอกได้ไหม ว่าพวกเขาวิ่งตามรถม้าไปทางใด” ก้งเยว่รีบละล่ำละลักถาม เบาะแสเดียวที่เขาได้รู้
ชายวัยกลางคนชี้มือไปทางเส้นทาง ที่จะนำไปสู่ประตูเมือง ลังเลอยู่สักพักว่าควรจะพูดในสิ่งที่คิดออกไปหรือไม่
“ท่านลุงมีอะไรอีกหรือเปล่า”
แม้ใจจะอยากวิ่งไปทางประตูเมืองเดียวนี้เลย แต่พอเห็นท่าทางของผู้แจ้งเบาะแส คล้ายมีเรื่องอะไรอยากพูด แต่ไม่กล้าพูด เขาจึงได้ถามออกมา
“เออ ข้ารู้ว่าเรื่องที่จะพูดมันไม่สมควรเท่าไร แต่ถ้าไม่พูดมันก็อัดอั้นอยู่ในอก”
“รีบพูดมาเถอะ ข้าจะได้ไปตามหาลูกเมียข้าต่อ”
“ข้าคิดว่าฮูหยินของคุณชาย...หนีตามชายอื่นไป แต่ยังไม่ต้องเชื่อข้าก็ได้” ชายวัยกลางคนรีบออกตัว กลัวว่าคุณชายก้งเยว่จะขุ่นเคืองใจ ที่ตนไปกล่าวหาฮูหยินของเขา
คำบอกเล่าของชายวัยกลางคน เป็นเหมือนสายอสุนีบาตที่ผ่าฟาดลงกลางใจของก้งเยว่ ฮูหยินที่รักเขามากนะหรือ จะหนีตามชายอื่นไป...ไม่...ไม่มีวันที่ซวี่เอ๋อร์จะหักหลังทรยศความรักที่นางมีต่อเขาแน่
“ไม่ ท่านลุงคงจะเข้าใจผิด”
ชายหนุ่มกล่าวเพียงแค่นั้น ก็วิ่งไปตามเส้นทางที่จะนำไปสู่ประตูเมือง หากตามหาตัวภรรยาและลูก ๆ พบ เขาก็จะได้รู้ความจริง และบอกกับท่านลุงคนนั้นได้เต็มปากเต็มคำว่า ท่านลุงเข้าใจฮูหยินผู้แสนดีของเขาผิดไปจริง ๆ
จนกระทั่งวิ่งมาถึงกลางทาง หนานลู่และบ่าวไพร่อีกสองสามคน กำลังวิ่งตรงมาทางเขา เขาจึงได้ชะลอฝีเท้าลง
“คุณชาย เจอนายน้อย คุณหนูแล้วขอรับ”
หนานลู่ตะโกนส่งเสียงมาก่อน ที่ตัวจะมาถึงเสียอีก
ก้งเยว่ผ่อนลมหายใจยาวออกมา ในที่สุดก็ตามหาลูก ๆ เจอเสียที แต่พอคนกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ระยะสายตา เขาถึงได้เห็นร่างเล็กของลูกทั้งสอง อยู่ในอ้อมแขนของบ่าวชายสองคน สภาพเนื้อตัวซีดเซียวจนน่าใจหาย
“ซวนเอ๋อร์ ลี่เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” ชายหนุ่มรีบถลาไปหาบ่าวที่อุ้มลูกน้อยทั้งสองของตนทันที
“ตอนพวกเราไปเจอ นายน้อยกำลังนั่งกอดคุณหนูที่หมดสติไป อยู่ใต้ต้นไม้ขอรับ” หนานลู่รายงาน
“ทะ...ท่านพ่อ ท่านแม่ทิ้งพวกเราไปแล้ว ท่านแม่หนีตามผู้ชายไป พวกลูกพยายามห้ามและวิงวอนให้ท่านแม่อยู่ต่อ แต่ท่านแม่กลับบอกว่าไม่รู้จักพวกลูก ลูกกับน้องพยายามวิ่งตามรถม้ามา อยู่ ๆ ลี่เอ๋อร์ก็หมดสติ ลูกเองก็เหนื่อยและหนาวมาก จึงทำได้เพียงลากน้องมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ และโอบกอดเอาไว้” เสียงเล็กพยายามบอกเล่าสิ่งที่พบเจอผ่านริมฝีปากซีดและสั่นระริกจนฟันกระทบกัน เมื่อบอกเล่าให้บิดาทราบแล้ว เด็กน้อยที่ฝืนสู้อดทนกับความหนาวเย็นมาหลายชั่วยาม เพื่อน้องสาวฝาแฝด ก็หมดสติไปอีกคน
ก้งเยว่หยุดยั้งความเสียใจ ที่ได้รู้ว่าถูกฮูหยินทรยศหักหลังเอาไว้ก่อน รีบพาลูกน้อยทั้งสองกลับจวนเสิ่น แล้วตามท่านหมอให้มาตรวจดูอาการ
บุญของเด็กทั้งสองคงมีมาก ถึงยังรอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ ขนาดท่านหมอที่ทำการรักษา ยังบอกว่าหากเป็นเด็กคนอื่น ๆ อยู่ท่ามกลางหิมะขนาดนั้น คงได้ตายไปแล้ว...
“แบบนี้จะดีหรือขอรับ ฮูหยิน...เอ่อ...แม่นางเสวี่ยอาจจะไม่สบายเอาได้ อากาศภายนอกหนาวเย็นนัก เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็บางเบา”
เป็นหนานลู่ที่ทนมองสภาพของสาวงามไม่ไหว รีบเอ่ยทักขึ้น หวังว่าผู้เป็นนาย จะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ยอมยกโทษให้แม่นางฉิงซวี่ ไม่ต้องทรมานหญิงสาวมากขนาดนี้
เสียงของหนานลู่ดังเล็ดลอดเข้ามาภายในรถม้า ปลุกให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านใน ตื่นออกจากห้วงความคิด ปลายนิ้วมือแง้มเปิดม่านหน้าต่างออกมอง สตรีนางหนึ่งที่ออกแรงวิ่งตามรถม้า เพื่อไม่ให้ตนเองถูกลากครูดไปกับพื้น ใบหน้างามแดงก่ำจากการออกแรงและความหนาวเย็นที่ปะทะผิวหนัง
...ท่าทางยังวิ่งไหวอยู่นี้ ไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน ผิดกันราวกับเป็นคนละคน ไหนจะรอยแผลเป็นนั้นอีก...
“บังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้นอีก”
“แต่ว่า...” หนานลู่จะเอ่ยปากขัด ดูท่าผู้เป็นนายจะไม่ฟังสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่คำเดียว
“หรือว่าเจ้าอยากจะไปวิ่งเป็นเพื่อนนาง หากยังขอความเห็นใจให้นางอีก ข้าจะเปลี่ยนผูกนางกับหลังม้า แล้วให้ม้าลากครูดไปกับพื้นแทน”
กุ้ยเยว่สะบัดม่านหน้าต่างปิดอย่างแรง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน ผู้หญิงแพศยา ใจร้ายใจดำอย่างนาง สมควรได้รับความเวทนาสงสารด้วยหรือ
หนานลู่ปิดปากไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาอีก เพราะเกรงว่าคุณชายจะลงโทษแม่นางฉิงซวี่อย่างที่พูดจริง ๆ เขาจึงพยักหน้าให้สารถีบังคับม้าให้ควบเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก
เดิมทีฉิงซวี่ก็ต้องก้าวเท้ายาว ๆ และถี่มากขึ้นอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เสียหลักถูกรถม้าลากจนร่างกายครูดไถลไปกับพื้น พอรถม้าวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก นางก็ยิ่งต้องใช้แรงวิ่งให้ทันรถม้า
“มันจะรังแก กันมากเกินไปแล้วนะ เล่นแบบนี้มาเจอกันตัวต่อตัวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า ผู้ชายอะไรหน้าตาก็ดี แต่จิตใจโหดเหี้ยมชะมัด”
หญิงสาวผู้ข้ามกาลเวลาตะโกนด่าคนในรถม้า ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินที่นางต่อว่าหรือไม่ ขอให้ได้ปลดปล่อยความคับข้องใจออกไปบ้างก็พอ
จนวิ่งมาได้สักพักหนึ่ง เสียงต่อว่าของหญิงสาวเงียบลง ใบหน้าแดงก่ำจนแทบจะกลายเป็นเขียวคล้ำ ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าปากพะงาบ ๆ เหนื่อยหอบเสียจนนึกว่าจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ
“ช้าลงหน่อย”
สิ้นคำสั่งของคนในรถม้า จังหวะการขับเคลื่อนจึงเปลี่ยนมาช้าลง ทำให้ฉิงซวี่พอจะมีโอกาสได้หายใจหายคอ สูดอากาศเข้าเต็มปอดมากยิ่งขึ้น อาการเหนื่อยหอบก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงตามลำดับ...