ตอนที่ 6 เทพบุตรกลายเป็นปีศาจ
ตอนที่ 6
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ฉิงซวี่ยิ้มหวานให้พระเอกขี่ม้าขาวของนาง นอกจากจะรูปร่างหน้าตาดีแล้ว ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก มือใหญ่ของเขายื่นออกมา เพื่อให้นางได้จับยึดเหนี่ยวเพื่อก้าวขึ้นรถม้า
‘เสิ่นก้งเยว่’ ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกรู้สากับรอยยิ้มหวานของสตรีงามล่มเมือง หากเป็นบุรุษอื่นได้เห็นรอยยิ้มหวานเช่นนี้ คงยอมสยบแทบเท้าคนงามไปแล้ว...แต่ไม่ใช่กับเขาผู้นี้ ที่หูตาสว่างไม่เหมือนเช่นกาลก่อน
ชายหนุ่มรอจนกระทั่งหญิงสาวที่เปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว เข้าไปนั่งในรถม้า เขาถึงได้ตามหลังนางเข้าไป
ส่วนบ่าวผู้ติดตามก้งเยว่นั่งอยู่ภายนอกเคียงข้างกับสารถี
รถม้าคันหรูเคลื่อนตัวผ่านบ้านเรือน ไปจนถึงประตูหลักของเมืองหลวง หลังจากทหารเฝ้าเวรยามตรวจป้ายผ่านทางเรียบร้อยแล้ว เจ้าม้าสี่ขาก็ทำหน้าที่ลากตัวรถที่ทำจากไม้ขับเคลื่อนไปตามถนน ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็น แม้เวลานี้จะยังเป็นช่วงกลางวันอยู่ก็ตาม
ตลอดการเดินทาง ชายหนุ่มแปลกหน้าก็เอาแต่หลับตานิ่ง ไม่ยอมชวนหญิงสาวที่นั่งเคียงข้างเจรจาเลยแม้แต่น้อย จนหญิงสาวเกิดความรู้สึกอึดอัด
ฉิงซวี่คอยลอบมองวงหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายเป็นระยะ จึงตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพราะคิดว่าสุภาพบุรุษเช่นเขา อาจไม่กล้าเข้าหาสตรีก่อนก็ได้
“คุณชายท่านนี้ ข้าขอบคุณท่านมาก ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่”
แต่พระเอกขี่ม้าขาวของฉิงซวี่กลับไม่สนใจที่จะพูดด้วย เขากลับหันไปเอื้อนเอ่ยถามลูกน้องที่นั่งอยู่นอกรถม้าแทน
“หนานลู่ ถึงไหนแล้ว”
“ออกจากเมืองหลวงมาไกลโขแล้วขอรับ” เสียงจากด้านนอกตะโกนเข้ามา
ฉิงซวี่หน้าเสียเล็กน้อย ต่อท่าทีไม่สนใจของอีกฝ่าย พอคิดว่าพระเอกในซีรีส์ที่นางเคยดูก็เย็นชาใส่นางเอกแบบนี้แหละ จึงมีแรงใจที่จะลุยต่ออีกสักครั้ง
“ลงไป”
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากชวนชายหนุ่มพูดคุยอีกสักรอบ เสียงทุ้มก็หลุดรอดออกจากริมฝีปากของชายหนุ่มเสียก่อน
“เจ้าคะ”
ฉิงซวี่ไม่เข้าใจ ว่าชายหนุ่มหมายความว่าอะไร เพราะอยู่ ๆ เขาก็พูดลอย ๆ ขึ้นมา
“ข้าบอกให้ลงไปด้านล่าง” ก้งเยว่กล่าวย้ำประโยคเดิมน้ำเสียงหนักแน่น
“ถึงจวนของคุณชายแล้วหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวลองเปิดม่านหน้าต่างออกดู กลับไม่พบหมู่บ้านหรือบ้านเรือนเลยสักหลัง ข้างทางเป็นเพียงพงหญ้าที่ขึ้นรกทึบ นางไม่เข้าใจว่าเขาจะให้นางลงจากรถม้าทำไม
“ไปอยู่กับชายชู้มาเสียนาน สมองถึงขั้นไม่สั่งการแล้วหรืออย่างไร” น้ำเสียงของก้งเยว่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ฉิงซวี่หันขวับมามองใบหน้าของผู้ร่วมทาง เริ่มรู้สึกเอะใจในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา ยิ่งพอได้สบสายตาของอีกฝ่ายด้วยแล้ว นางยิ่งเห็นความเคียดแค้นเต้นระริกอยู่ในแววตาของเขา
...เขาชิงชัง เคียดแค้นเจ้าของร่างกายนี้หรือ คนสองคนเกี่ยวข้องอย่างไรกันแน่ ในเมื่อไม่ชอบเจ้าของร่าง แล้วไปช่วยออกมาทำไม...
ในหัวสมองของหญิงสาว มีแต่คำถามที่ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ไม่รู้จะหาคำตอบได้จากที่ไหน
“เราสองคนรู้จักกันมาก่อนหรือ เหตุใดแววตาของคุณชายถึงปรากฏแววของความเคียดแค้นข้า” แก้วตาเป็นคนตรง ๆ เมื่อสงสัยย่อมเอ่ยถามออกมา ไม่อ้อมค้อม
“รู้จักกันมาก่อนหรือ...” ก้งเยว่ทวนคำพูดของหญิงสาว แววตาท่าทางตอนที่แสดงออกอยู่เมืองหลวง ไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว สายตาที่มองมายามนี้ก็เป็นอย่างที่หญิงสาวสงสัยนั่นแหละ
“เราอยู่กันเพียงลำพังแล้ว สามีเจ้าก็ไม่ได้ติดตามมา ไม่ต้องมาเล่นละคร ว่าพวกเราไม่รู้จักกันมาก่อนหรอก หรือทำท่าทางราวกับจำเรื่องราวที่ผ่านมาของเราไม่ได้ ข้าเห็นแล้วอยากจะอ้วก”
ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยว ยิ่งคิดถึงอดีต สายตายิ่งวาวโรจน์ไปด้วยไฟแค้นมากเท่านั้น มือหนาควานหยิบเชือกเส้นหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะอาศัยจังหวะที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว รวบข้อมือทั้งสองข้างเข้ามาแนบชิดกัน จากนั้นก็ลงมือใช้เชือกผูกมัดเอาไว้จนแน่น
“จะทำอะไรนะ”
ฉิงซวี่งุนงงไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก หากได้ความทรงจำของเจ้าของร่างกลับมาก็ดีนะสิ จะได้รู้ว่าไปทำอะไรไว้ ชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้เปลี่ยนจากเทพบุตรไปเป็นปีศาจไปได้ เพียงเวลาไม่ทันข้ามวัน
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
ก้งเยว่บีบเค้นเสียงลอดไรฟัน พร้อมกับออกคำสั่งให้หยุดรถม้า จากนั้นก็ออกแรงฉุดกระชากให้คนตัวเล็ก ออกจากตัวรถม้าให้ได้
ฉิงซวี่ขืนตัวเอาไว้ ไม่ยอมถูกฉุดลากออกไปได้ง่าย ๆ แม้ไม่เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หญิงสาวก็ไม่อยากออกไปเผชิญกับอากาศหนาวเย็น และความเวิ้งว้างของสภาพรอบตัวที่ไม่มีบ้านเรือนสักหลัง
“ข้าไม่ลงไป แก้มัดมือข้าเดี๋ยวนี้นะ”
เมื่อกลายเป็นผู้ถูกกระทำ หญิงสาวจึงเก็บเอาความชื่นชม ที่มีต่อใบหน้าฟ้าประทานเอาไว้ในใจ ยามนี้ชายหนุ่มผู้นี้ที่นางไม่รู้จักชื่อแซ่ ถือเป็นตัวอันตรายสำหรับเจ้าของร่าง เช่นเดียวกับชายอีกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเจ้าของร่าง
“ข้าเป็นคนช่วยเจ้าให้พ้นจากการถูกคุมขัง ย่อมมีสิทธิ์ในตัวเจ้า เจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้าอย่างไม่มีบิดพลิ้ว”
“บ้าไปแล้ว หากท่านสั่งให้ข้าไปตาย ข้าก็ต้องตายหรือ” ฉิงซวี่ประชดคนตัวโต ที่ยังคงออกแรงดึง ตั้งใจจะให้นางลงจากรถม้าให้ได้
“ใช่” ก้งเยว่ตอบหน้าตาเรียบเฉย
บ้าไปแล้ว ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ อุตส่าห์นึกว่าจะได้เจอเทพบุตร พระเอกผู้แสนดี ชีวิตของนางกลับต้องมาเจอราชาปีศาจเสียได้ หนีเสือปะจระเข้แท้ ๆ
“ข้าไปทำอะไรให้ท่านแค้นเคืองนักหนา ถึงได้กลายร่างเป็นปีศาจมารังแกข้าขนาดนี้...หลงดีใจ นึกว่าจะได้เจอเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิง” ประโยคหลัง หญิงสาวอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ แต่อีกคนก็ยังได้ยินในสิ่งที่หญิงสาวพูด
“หึ...คงคิดว่าข้าช่วยเจ้า เพราะมีความรู้สึกดี ๆ งั้นสิ...ไม่มีทาง ข้าในตอนนี้หูตาสว่าง เห็นธาตุแท้ของเจ้าหมดแล้ว ย่อมไม่มีทางเป็นเหมือนในอดีตแน่”
ก้งเยว่เค้นเสียงลอดไรฟัน ในเมื่อฉุดกระชากหญิงสาวไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีอุ้มหญิงสาวขึ้นมากระชับมั่นในวงแขนแกร่ง
“ว้าย”
ฉิงซวี่ร้องเสียงหลง ยามที่ร่างกายลอยละลิ่วสูงจากพื้น อยากจะดิ้นรนขัดขืน ก็เกรงว่าจะตกลงไปแขนขาหัก
จึงได้แต่ยอมให้คนตัวโตอุ้มลงจากรถม้า ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น พอเท้าทั้งสองได้สัมผัสพื้น หญิงสาวก็รีบขยับถอยให้ห่างจากชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรนางอีก
หลังจากพาตัวหญิงสาวลงมาด้านล่างได้สำเร็จ ก้งเยว่ก็จับปลายเชือกด้านหนึ่งสอดเข้าไปในหน้าต่าง จากนั้นตัวเขาก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้าเพียงลำพัง ภายในมือกระชับปลายเชือกเอาไว้แน่น
“เดินทางต่อได้”
สารถีจึงบังคับม้าให้เคลื่อนไปตามเส้นทางต่อ แม้จะเห็นใจสาวงาม ที่ต้องถูกลากให้วิ่งตามรถม้า แต่ด้วยเป็นคำสั่งของผู้เป็นนาย ตนก็ต้องทำ
“แบบนี้จะดีหรือขอรับ ฮูหยิน...เอ่อ...แม่นางเสวี่ยอาจจะไม่สบายเอาได้ อากาศภายนอกหนาวเย็นนัก เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็บางเบา”
เป็นหนานลู่ที่ทนมองสภาพของสาวงามไม่ไหว รีบเอ่ยทักขึ้น หวังว่าผู้เป็นนาย จะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ยอมยกโทษให้แม่นางฉิงซวี่ ไม่ต้องทรมานหญิงสาวมากขนาดนี้