บท
ตั้งค่า

อักษรรูน

การสลักอักษรรูนนั้นขอเพียงแค่มีพลังวิญญาณก็สามารถสลักอักษรรูนได้หรือ? หาใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอนเพราะการที่เราจะเขียนได้เราต้องเรียนรู้สิ่งนั้นเสียก่อน ถ้าเป็นเช่นนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเรียนตัวอักษรธรรมดา แต่อักษรรูนมีความซับซ้อนและยากยิ่งกว่าไม่รู้กี่พันเท่า อักษรรูนเพียงตัวเดียวก็สามารถตีความหมายได้หลายผลรับเพียงอักษรหนึ่งตัวต้องศึกษาแรมเดือน ต่อให้มีอาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยตรงทำการสอนด้วยตัวเองก็ต้องพบกับความยากลำบากในการเรียนรู้อยู่ดี

ฉินหลินก็พบเจอเหตุการณ์นั้นเช่นกันกับการเรียนรู้ตัวอักษรรูน เพียงแต่ว่าเขาค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องนี้โดยตรงกับเจ้าของภาษาซึ่งนั้นก็คือชาวชนเผ่ามายา ชนเผ่านี้นับได้ว่าเก่าแก่อยู่คู่กับวิถีแห่งการต่อสู้มาอย่างยาวนานถึงแม้จะไม่ใช่ยุคสมัยที่การฝึกวิถีแห่งการต่อสู้รุ่งเรืองแต่มันคือยุคที่อันตรายที่สุดยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้ ยุคอสูรยุคที่เหล่าสัตว์สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์พิเศษยึดครองพื้นที่อยู่อาศัยไปร่วมเจ็ดสิบเปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งหมด พื้นดิน น้ำ ภูเขาหรือกระทั้งบนท้องฟ้า

มนุษย์ในตอนนั้นถูกบีบบังคับกดดันอยู่หลายครั้งหลายคราจากสัตว์เหล่านั้น ในยุคที่ผู้คนไม่รู้จักการฝึกตนเมื่อดำรงและต่อสู้รู้เพียงการใช้เครื่องมือ ค้อน ขวาน ดาบเครื่องมือเหล่านี้มีหรือจะสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้

แต่ยังดีเหมือนโชตชะตายังไม่ทอดทิ้งเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อหนึ่งในบุคคลหนึ่งของชนเผ่ามายาค้นพบตำราจากยุคก่อนหน้าที่โบราณสถาน เป็นตำราจากยุคแรกกำเนิดเป็นยุคสมัยก่อนหน้าพวกเขาหนึ่งยุคสมัย จากตำราที่จดบันทึกไว้ยุคแรกกำเนิดก็พบกับปัญหาเช่นนี้เหมือนกันเพียงแต่ว่าไม่รุนแรงถึงเพียงนี้ คนจากยุคสมัยนั้นสามารถต้านยันและโต้กลับสัตว์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดีด้วยทักษะหนึ่ง การใช้อักษรรูนเพื่อเพิ่มอำนาจของสิ่งนั้นๆ การที่พวกเขารู้ทักษะนี้ทำให้ประวัติศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายคนและสัตว์เปลี่ยนไปทันทีตามบันทึกพวกเขาเชื่อว่าอักษรชนิดนี้มีมาพร้อมกับโลกใบนี้เป็นภาษาโลก ภาษาแห่งการกำเนิดทุกสิ่งเมื่อผู้ใดเข้าใจภาษานี้ก็จะเข้าใจโลก แล้วการที่พวกเขาเหล่านั้นจากยุคแรกกำเนิดสามารถเขียนและเรียนรู้ภาษานี้ได้ราวกับเป็นภาษาหลักนั้นเพราะว่าเมื่อพวกเขาเหล่านั้นลืมตาดูโลกพวกเขาก็เห็นและได้ยินภาษานี้แล้ว ถือได้ว่าสมัยยุคแรกกำเนิดนั้นภาษารูนเป็นภาษาหลักของโลก ณ ตอนนั้นเลยก็ว่าได้ ภาษานี้สืบทอดต่อกันมาเรื่อย ๆ จนมาถึงยุคบรรพกาลยุคแห่งความรุ่งโรจน์อย่างที่สุดยุคแห่งการเฉลิมฉลองแด่เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นยุคสมัยหลังยุคอสูรผ่านพ้นไป ภาษารูนเริ่มห่างหายไปหลังจากยุคสมัยนี้

พลังวิญญาณคำนี้ถูกเรียกในภายหลังในยุคสมัยนั้นพวกเขาไม่รู้จักมันเสียด้วยซ้ำแถมยังไม่รู้ด้วยว่ามันมีตัวตนจริงหรือไม่ แต่พวกเขากับมีมันครอบครองกันทุกคนที่ต่างกับยุคสมัยนี้ที่น้อยคนนักจะมีมัน พวกเขาเรียกมันว่าจิตวิญญาณมันคือปณิธานอันแรงกล้าของคนที่อยากจะมีชีวิตรอดจากความโหดร้ายและความยากลำบาก เพียงแค่พวกเขาลืมตาดูโลกก็ต้องผจญกับสิ่งอันตรายถึงชีวิตรอบด้านป้องกันจากการถูกคุกคามโดยสัตว์เหล่านั้นที่มีทั้งจำนวนและพลังอันมหาศาลที่แตกต่างกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

จิตวิญญาณคือปณิธานนี้แหละคือสาเหตุหลักที่ทำให้มันสามารถโอนย้ายไปยังผู้อื่นได้ไม่เหมือนกับลมปราณ การที่ผู้คนมีพลังวิญญาณไว้ในครอบครองน้อยลงมาจากการนิ่งนอนใจในเมื่อพวกเขาสามารถขจัดปัญหาที่รังควานพวกเขาได้พวกเขาจะเสียแรงปณิธานที่ต้องการจะใช้พลังหรือปัญญาในการปกป้องพี่น้องผู้คนอันเป็นที่รักของตนไป นับวันโลกยิ่งสงบแรงปณิธานเริ่มจางหายจนในที่สุดมันก็เหลือเพียงน้อยนิดเช่นตอนนี้

ชนเผ่ามายาที่ค้นพบเรื่องราวการจดบันทึกเริ่มเดินตามเส้นทางเหล่านั้น การจัดการบริหาร แนวความคิดหรือถึงการใช้พลังที่ตนมีอยู่เพื่อใช้ในการต่อกรกับสัตว์ ชนเผ่ามายาเรียกได้ว่าเป็นแนวหน้าในการขจัดปัญหาของยุคอสูรไปมากโขหากไร้ซึ่งเผ่านี้โลกใบนี้อาจมีมนุษย์น้อยลงหรืออาจถึงขั้นสูญพันธุ์ก็เป็นได้ฉินหลินมือไปยังแขนซ้ายของตนพร้อมกับร้อยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าอักษรรูนเขาจะเขียนไปมากก็ตามแต่นี้เป็นครั้งแรกที่เขาทุ่มไปกับมันมากถึงเพียงนี้

ภายในตำหนักวิถีสวรรค์ชั้นสองก่อกำเนิดพลังงานธาตุลมหมุนเวียนกันไปมาจุดศูนย์กลางของพลังมาจากฝามือของฉินหลินที่กำลังควบคุมมันอย่างเมามัน ฉินหลินพาสายลมไปซ้ายสายลมก็ไปซ้ายพาสายลมไปขวาสายลมก็ไปขวา

“เยี่ยมยอด”

การที่ผู้ฝึกวิถีต่อสู้จะสามารถควบคุมปราณธาตุของตนได้นั้นต้องมีการเข้าถึงของธาตุนั้นสูงระดับหนึ่งและต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากในการไปถึง ปราณธาตุของฉินหลินตอนนี้ยังไม่ได้ถึงระดับหนึ่งเสียด้วยซ้ำแต่เพราะฉินหลินนั้นเขาได้ทำลายขีดกำจัดนั้นทิ้งไปเสียแล้วจึงทำให้ตัวฉินหลินสามารถฝึกปราณธาตุอย่างไม่มีสิ่งใดกีดขวาง“พัฒนาไปอีกก้าวการฝึกตนนั้นมีอะไรให้ตื้นเต้นอีกเยอะจริงๆ”

ฉินหลินเตรียมออกจากสถานที่แห่งนี้เขาไม่มีสิ่งใดอยากรู้อีกแล้วกับที่แห่งนี้ สิ่งที่เขาต้องทำหลังจากนี้คือตัวเขาอยากออกไปเดินเล่นภายในเมืองหลวงเสียหน่อยอยากจะรู้ว่าเวลาผ่านไปเก้าพันปีจะมีอะไรบ้างที่มันน่าสนใจต่างไปจากเดิม

ในขณะที่ฉินหลินกำลังเดินออกจากตำหนักวิถีสวรรค์ประตูทางเข้ามีผู้เฝ้าประตูยังคงยืนตรวจอความปลอดภัยอยู่ที่เดิมอย่างน่าเกรงขามเฉกเช่นเดิม นั้นทำให้ฉินหลินนึกได้เรื่องหนึ่งครั้งที่เขากำลังเขียนอักษรรูนแล้วพลังวิญญาณเหือดแห้งเต็มทีกลับมีพลังงานสายอื่นเข้ามาช่วยเติมเต็มพลังที่ขาดหายไป จึงทำให้ตัวเขาสามารถเขียนมันได้สำเร็จอย่างลุล่วง

“ข้าขอบคุณท่านจากใจจริงในการช่วยเหลือครั้งนี้ หากไร้ซึ่งการช่วยเหลือของท่านข้าคงพบเจอความอยากลำบาก”

ฉินหลินโค้งตัวแสดงความขอบคุณอย่างแท้จริงตัวเขาก็เป็นเช่นนี้เขาไม่ได้ถือตัวอวดอำนาจหยิ่งทะนงแม้ในยามที่เป็นมหาปราชญ์ก็ตาม ใครที่ช่วยเขาเขาก็จะแสดงความจริงใจด้วย ผู้เฝ้าประตูยังคงสีหน้าแน่นิ่งแต่ศีรษะกับก้มลงเพื่อแสดงถึงการยอมรับคำขอบคุณจากฉินหลินตัวฉินหลินเองก็ได้บทเรียนสำคัญมาสิ่งหนึ่งคือเขาต้องประมาณตัวเองใหม่เสียเพราะตอนนี้เขาไม่ใช่มหาปราชญ์แต่เป็นฉินหลิน หากเขาไม่ได้ชายชราช่วยเหลือมีหวังล้มเหลวและได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน

ฉินหลินเดินออกมาจากตำหนักวิถีสวรรค์ก่อนที่เขาจะไปยังเมืองหลวงเขาต้องการคนนำทางและแนะนำเสียก่อน บุคคลแรกที่ปรากฏภายในหัวของเขาอย่างรวดเร็วเลยก็คือพ่อบ้านเฉิน พ่อบ้านผู้มีความภักดีอย่างสุดซึ่งกับตัวเขา

ระหว่างเส้นทางที่เดินกลับมายังตัวตำหนักก็มีคนรับใช้มากมายเดินผ่านพร้อมกับพุ่งเป้ามายังจุดเดียวกันเหมือนกันทุกคนซึ่งสิ่งนั้นคือแขนซ้ายของเขา การเขียนอักษรรูนลงร่างกายมนุษย์มันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ที่แปลกคือเหตุใดถึงตัวอักษรสีทองสง่าเช่นนี้

ฉินหลินหาสนใจสายตาเหล่านั้นไม่ถึงมันจะดูโดดเด่นแต่เขาไม่กังวลแต่อย่างใดกับผลที่มันจะตามมา เพราะมันไม่มีอย่างแน่นอนต่อให้มีฉินหลินก็จะจัดการพวกเขาเหล่านั้นให้สิ้น ฉินหลินเดินมาถึงยังตำหนักจากที่เขาอารมณ์ดีมีสุขเพราะประสบสำเร็จในการเขียนอักษรรูน แต่อารมณ์เหล่านั้นต้องมลายหายไปเมื่อเขาได้เห็นภาพเบื้องหน้า ความเดือดดาล ความโกรธ ความกระหายในการฆ่า พุ่งขึ้นถึงขีดสุด

“พวกแกตาย!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel