บทที่ 9 เจ้าคือบุตรสาวที่รักของข้า...[2/2]
บทที่ 9
เจ้าคือบุตรสาวที่รักของข้า...[2/2]
“นังสารเลว! เจ้ายังไม่หย่าขาดกับลูกชายข้ากล้าคบชู้ได้อย่างไร!”
เมื่อเอ่ยจบสายตาของหญิงชราก็หันไปที่ซูเหยาซึ่งยืนจับมือจ้าวหว่านชิงอยู่ หญิงชราเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการกล่าวหา
“ไม่เพียงคบชู้...นี่เจ้ายังลากหลานสาวของข้าไปทำเรื่องเสื่อมเสียอีกหรือ!”
จ้าวหว่านชิงที่ฟังอยู่ได้แต่ถอนหายใจความเบื่อหน่ายพุ่งขึ้นเต็มอก นางไม่อยากถกเถียงให้เปลืองแรงอีกต่อไปจึงทำเพียงจูงมือซูเหยาผ่านคนทั้งสองไป ในขณะที่นางเปิดประตูรั่วริมฝีปากบางก็เอ่ยเรียบ ๆ
“หากพวกท่านมาที่นี่เพื่อก่อเรื่องก็กลับไปเถอะข้าไม่ต้อนรับ”
หญิงชราที่เห็นอดีตลูกสะใภ้ทำท่าทีหยิ่งทะนงก็อยากจะเข้าไปกระชากศีรษะอีกฝ่าย แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของบุตรชายในจดหมายนางก็ได้แต่พยายามข่มอารมณ์ในใจ หากไม่ใช่เพราะในจดหมายระบุอย่างชัดเจนว่าให้นางพานังเด็กซูเหยาเดินทางไปเมืองหลวงด้วยนางทิ้งนังเด็กภาระนั่นไว้ที่นี่แล้ว
“พรุ่งนี้ครอบครัวช่วงรุ่งสางครอบครัวข้าจะย้ายไปเมืองหลวง วันนี้ข้ามารับตัวซูเหยาไปตามสัญญา”
เสียงนั้นดังชัดเจนราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ จ้าวหว่านชิงที่กำลังก้าวเท้าเดินเข้าไปในเขตบ้านหยุดชะงักฝีเท้าอยู่กับที่ฝ่ามือที่จับซูเหยาไว้เผลอกระชับแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ซูเหยาเองเมื่อได้ยินว่าตนเองต้องออกเดินทางไปพบบิดาแววตาของเด็กหญิงก็สั่นไหวเล็กน้อย นางรู้สึกได้ว่าจ้าวหว่านชิงกำลังจับมือของตนแน่นกว่าเดิม
“ส่งซูเหยามาให้ข้าได้แล้ว”
หัวใจของจ้าวหว่านชิงพลันสั่นไหวนางรู้มาตลอดว่าวันหนึ่งต้องส่งซูเหยาคืนให้บิดาของนาง แต่ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมาถึงเร็วเช่นนี้...
“คืนนี้ให้ซูเหยาพักที่นี่เถอะ พรุ่งนี้รุ่งสางข้าจะเดินไปส่งนางที่บ้านสกุลฉู่เอง”
“เฮอะตามใจเจ้า อ้อแล้วอย่าได้คิดว่าจะขอตามไปเมืองหลวงด้วยเพราะเห็นว่าลูกชายข้าได้เป็นขุนนางเล่า ข้าส่งจดหมายไปบอกเขาให้เขียนหนังสือหย่าให้เจ้าแล้ว หลังจากข้าไปเมืองหลวงหนังสือหย่าคงถึงมือเจ้าพอดี”
“บุตรชายท่านไม่ได้มีค่าพอให้ข้าหันไปมองหรอกวางใจเถอะ”
“นะ..นี่เจ้า!”
“เหยาเอ๋อร์พวกเราเข้าบ้านกันเถอะ”
จ้าวหว่านชิงจูงมือเด็กหญิงเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะปิดประตูรั้วเสียงดังแสดงเจตนาว่าต้องการไล่แขกไม่ได้รับเชิญที่ยืนอยู่หน้าบ้าน หญิงสาวหันไปฝืนยิ้มให้ซูเหยาที่กำลังจับมือนางอยู่แน่นก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“วันนี้...พวกเรากินมื้อใหญ่กันเถอะ ถือว่าเป็นมื้อบอกลา”
ซูเหยาเงยหน้ามองนางด้วยแววตายากจะคาดเดาก่อนตอบเสียงเรียบ
“วันนี้...ทำเกี๊ยวน้ำเถอะ”
สิ้นคำพูดเด็กหญิงก็หมุนกายเดินไปนั่งเอนหลังลงบนเก้าอี้ไม้ตัวโปรดในลานบ้านราวกับอยากสงบใจท่ามกลางความวุ่นวายที่กำลังจะมาถึง
จ้าวหว่านชิงมองภาพนั้นใจดวงน้อยเหมือนถูกบีบรัดจนแน่น เพียงแค่คิดว่าพรุ่งนี้ต้องส่งซูเหยาไปเมืองหลวงหัวใจของนางก็สั่นสะท้านราวถูกพรากสิ่งล้ำค่าไป ทว่าเพื่ออนาคตที่สุดใสของเด็กหญิงนางจึงเลือกกลืนความรู้สึกไว้ภายในไม่เอื้อนเอ่ยออกมา
ร่างบางตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องครัวหยิบแป้งมากองบนโต๊ะไม้ก่อนจะเริ่มนวดอย่างเงียบงัน แต่ทว่าไม่นานหยาดน้ำตาใสก็ร่วงหล่นลงบนแป้งขาวสะอาด จ้าวหว่านชิงนวดไปทั้งที่มองเห็นภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนเพราะหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นและสุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว ร่างบางทรุดลงนั่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮระบายความเจ็บปวดที่ไม่อาจเก็บกดได้อีกต่อไป
เสียงสะอื้นสั่นสะเทือนเล็ดลอดออกมาจากครัวดังไปถึงลานบ้านที่ซูเหยาเอนกายอยู่ เด็กหญิงลืมตาขึ้นฟังอยู่ครู่หนึ่งใบหน้าเล็กยามนี้ฉายแววความเจ็บปวดเช่นกัน
นางเข้าใจดี...สิ่งที่จ้าวหว่านชิงทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อปกป้องตนแต่การพรากจากก็ยังทำให้นางเจ็บปวดเกินทน
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าดังขึ้นท่ามกลางเสียงร้องไห้ ซูเหยาเดินเข้าสู่ครัวเงียบ ๆ ร่างเล็กหยุดฝีเท้ายืนตรงหน้าจ้าวหว่านชิงที่กำลังนั่งร้องไห้ตัวสั่นอยู่กับพื้น เด็กหญิงสูดหายใจลึกก่อนจะยื่นแขนเล็ก ๆ โอบกอดอีกฝ่ายไว้แน่นพลางเอ่ยเสียงเบาแต่ทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่น
“ท่านแม่อย่าเสียใจเลยนะ เหยาเอ๋อร์ไม่เป็นไร”
จ้าวหว่านชิงชะงักทันทีน้ำตาที่พรั่งพรูหยุดไหลในเสี้ยววินาที ดวงตาเบิกกว้างนางแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เหยาเอ๋อร์...เมื่อครู่...เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” เสียงของนางสั่นเครือเต็มไปด้วยความหวัง
ซูเหยาผละออกเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นสบตากับจ้าวหว่านชิน ดวงตากลมโตทอประกายแน่วแน่พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“ท่านแม่”
เพียงสองคำสั้น ๆ ก็เหมือนทลายกำแพงทั้งหมดในใจ จ้าวหว่านชิงปล่อยโฮหนักยิ่งกว่าเดิมก่อนจะโผเข้ากอดเด็กหญิงแนบอก ริมฝีปากบางพรมจูบไปทั่วเรือนผมและหน้าผากของซูเหยาพลางเอ่ยประโยคเดิมกับเด็กหญิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เหยาเอ๋อร์...บุตรสาวของข้า เจ้า...คือบุตรสาวที่รักของข้า”