บทที่ 10 เหยาเอ๋อร์ต่อจากนี้พวกเราจะอยู่ด้วยกัน... [1/2]
บทที่ 10
เหยาเอ๋อร์ต่อจากนี้พวกเราจะอยู่ด้วยกัน... [1/2]
ช่วงพลบค่ำแสงตะเกียงน้ำมันวาววับภายในห้องนอน จ้าวหว่านชิงเอนกายนอนบนเตียงมือเรียวก่ายหน้าผากดวงตาพร่ามัวด้วยความคิดที่ตีวนไม่รู้จบ
“หาก...หากข้าเลี้ยงดูเหยาเอ๋อร์ด้วยตัวเองเล่า?”
หญิงสาวพึมพำกับตนเองหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ในห้องครัววันนี้มาจ้าวหว่านชิงก็รู้ว่าตนเองผูกพันกับซูเหยามากกว่าที่คิด ในสายตานางยามนี้มองเด็กหญิงราวกับเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของตนไปแล้ว..
“เงินที่ขายโสมป่าก็พอจะเปิดโรงหมอเล็ก ๆ ได้ หากข้ารักษาคนป่วยพัฒนาทักษะของระบบจนอยู่ในระดับสูงค่อยย้ายไปเปิดโรงหมอที่เมืองหลวงเพราะที่นั่นทำเงินได้มากกว่าชนบทแบบนี้ ถึงตอนนั้นด้วยระบบหมอเทวดาระดับสูงที่มีข้าก็สามารถหาเงินได้มากมายพอมีเงินแล้วย่อมเลี้ยงดูเหยาเอ๋อร์ให้สุขสบายได้”
จ้าวหว่านชิงเอ่ยกับตนเองพลางจินตนาการถึงเรื่องราวในอนาคตหากนางรับเลี้ยงซูเหยาอย่างที่ต้องการ แต่ทว่าจู่ ๆ ความจริงอันโหดร้ายก็โผล่เข้ามาในความคิดของนาง ในอนาคตฉู่จิ่นหานจะกลายเป็นขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจมากมายหากซูเหยาอยู่กับเขาก็จะกลายเป็นบุตรสาวขุนนางที่ไม่มีใครกล้าหยามเกียรติได้ ทว่าต่างจากนางที่เป็นเพียงหมอธรรมแม้จะมีเงินทองแต่ก็ต้องก้มหัวให้ขุนนางที่มีอำนาจอยู่ดี
ฐานะช่างต่างกันราวฟ้าและดิน....
การที่ซูเหยาอยู่กับนางนั่นดีต่อเด็กจริง ๆ หรือ....
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
ในขณะที่จ้าวหว่านชิงจมอยู่กับความคิดเสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้นภายในห้อง หญิงสาวตื่นจากภวังค์พลางยันกายลุกขึ้นนั่งหันไปมองทางประตู
“ท่านแม่...เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อย”
จ้าวหว่านชิงที่รู้ว่าผู้ใดอยู่ด้านหลังของประตูรีบลุกจากเตียงไปเปิดประตูทันที นัยน์ตาคู่สวยมองซูเหยากำลังยืนกอดหมอนผืนเล็กแนบอกใบหน้าแฝงร่องรอยง่วงงุน
“นี่ก็ดึกแล้วเหตุใดยังไม่เข้านอนอีกเล่าเหยาเอ๋อร์”
“ท่านแม่...คืนนี้...ข้าขอนอนกับท่านได้หรือไม่” ซูเหยาเอ่ยออกมาน้ำเสียงเบาเหมือนกลัวถูกปฏิเสธ
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงตรงหน้าหัวใจจ้าวหว่านชิงอ่อนยวบทันที รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นบนริมฝีปากร่างบางย่อตัวลงอุ้มเด็กหญิงเข้าสู่อ้อมแขนก่อนจะปิดประตูลงกลอนแน่นหนาย่างกายพาเด็กน้อยไปยังเตียงนอน
“คืนนี้...ให้แม่นอนกอดเหยาเอ๋อร์ได้หรือไม่?” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ซูเหยาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะโอบกอดตอบ ร่างเล็กเบียดกายเข้าหาความอบอุ่นของผู้เป็นมารดา ทั้งสองเอนกายนอนเคียงกันใต้ผ้าห่มผืนเดียว จ้าวหว่านชิงนอนตะแคงสายตาจับจ้องใบหน้าเด็กหญิงที่ตนรักราวดวงใจ
“ท่านแม่...พรุ่งนี้...ข้าต้องไปเมืองหลวงจริง ๆ หรือ?” ซูเหยาเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ใบหน้าเล็กเผยท่าทางลังเลแววตากะพริบเล็กน้อยราวกำลังต่อสู้กับความกลัว
จ้าวหว่านชิงชะงักดวงตาฉายแววลังเล นางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงคล้ายซ่อนความกังวลใจ
“เหยาเอ๋อร์...เจ้าปรารถนาจะไปอยู่กับบิดาของเจ้าที่เมืองหลวงหรือไม่?”
ซูเหยาส่ายหน้ารัวดวงตาใสเจือความดื้อรั้นทันทีที่ได้ฟังคำถามนั้น...
“ข้าไม่อยากไป ข้าอยากอยู่กับท่านแม่”
ความอบอุ่นพุ่งวาบในอกจ้าวหว่านชิงแต่ยังมิอาจปิดบังความจริง นางจึงเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น มือเกลี่ยเส้นผมของเด็กน้อยไปด้วย
“เหยาเอ๋อร์...บิดาของเจ้าได้รับตำแหน่งขุนนางแล้ว อีกไม่นานด้วยความสามารถของเขาคงได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับสูง....หากอยู่ที่นั่นเจ้าจะได้รับทุกสิ่งทั้งอำนาจ...ทั้งเกียรติและทรัพย์สินล้นมือผู้คนมากมายจะรายล้อมเคารพรักเจ้า แม่จะไม่โกหกเจ้าว่าแม้ในอนาคตแม่จะมีเงินทองจนสามารถซื้อทุกสิ่งให้เจ้าได้ แต่สถานะของแม่ยังเป็นเพียงชาวบ้านธรรมไม่อาจเทียบได้กับขุนนางอย่างบิดาของเจ้า...”
“ข้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่ข้าต้องการคือได้อยู่กับท่านแม่เช่นนี้เท่านั้น” ซูเหยาเอ่ยออกมาน้ำเสียงและแววตาแน่วแน่ว่าตนเองต้องการเช่นนั้นจริง ๆ
“ท่านแม่...อย่าไล่ข้าไปเมืองหลวงเลยนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินว่าเด็กหญิงอยากอยู่กับตนดวงใจของจ้าวหว่านชิงราวถูกโอบด้วยแสงอุ่นน้ำตารื้นขึ้นในหางตาโดยไม่รู้ตัว นางดึงร่างเล็กเข้ามากอดแนบอกแน่นพลางพูดเสียงเบานุ่มราวคำสาบาน
“ได้...เหยาเอ๋อร์ต่อจากนี้พวกเราจะอยู่ด้วยกัน แม่จะปกป้องเจ้าเอง”
ค่ำคืนนั้นสองแม่ลูกต่างสายเลือดนอนโอบกอดกันแน่น ท่ามกลางแสงตะเกียงที่ค่อย ๆ มอดดับไป ความอบอุ่นของครอบครัวปกคลุมทั่วห้องจนทั้งสองหลับใหลไปในที่สุด...