บทที่ 9 เจ้าคือบุตรสาวที่รักของข้า... [1/2]
บทที่ 9
เจ้าคือบุตรสาวที่รักของข้า... [1/2]
ช่วงบ่ายของวันบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยผู้คนที่เตรียมออกเดินทางหลังจบงานเทศกาลโคมไฟ จ้าวหว่านชิงจับมือซูเหยาแน่นพลางเอ่ยคำล่ำลาซูเจินอวี๋และเสี่ยวหานด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เสี่ยวหานก้าวเข้ามาหาซูเหยาดวงตากลมโตคลอไปด้วยหยาดน้ำตา เสียงเล็กสั่นเครือเอ่ยออกมาท่ามกลางสายตาของผู้ใหญ่ที่จับจ้องอยู่
“ซูเหยา...หากโตขึ้นพวกเราจะแต่งงานกันใช่หรือไม่”
ซูเหยาหันมองเด็กชายตรงหน้าอย่างเฉยชาพลางคิดในใจโดยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา ตนเองจำได้ว่าไม่เคยสัญญาเช่นนั้นกับเจ้านี่เลยสักครั้ง อีกอย่างพวกเราพบหน้ากันไม่ถึงวันด้วยซ้ำเจ้าเด็กขี้แยนี่คิดอะไรอยู่กัน...
ทว่าเมื่อเห็นว่าซูเหยาไม่เอ่ยตอบรับเสี่ยวหานก็ยิ่งสะอื้นไห้หนักกว่าเดิม เขารีบหันไปหาจ้าวหว่านชิงพลางพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจนดูน่าสงสาร
“พี่สาวได้โปรดเถอะ...อย่าให้ซูเหยาแต่งกับใครนอกจากข้าเลย!”
จ้าวหว่านชิงเพียงหัวเราะเบา ๆ พลางก้มลงมองเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างกายดวงตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูปนขบขัน
เด็กหญิงเห็นเช่นนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้ นางกอดอกเชิดหน้าขึ้นปรายตามองเสี่ยวหานอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่แต่งกับบุรุษเจ้าน้ำตาหรอกมันอ่อนแอเกินไป แล้วยังไม่ชอบบุรุษขี้เหร่ด้วยน่าขายหน้าจะตาย”
เด็กชายชะงักงันไปชั่วขณะก่อนรีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ พลางหันไปเผชิญหน้ากับเด็กหญิงสีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ก็ได้!...หากข้าโตขึ้นจะเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งและรูปงามที่สุดในแคว้นอย่างที่เจ้าชอบ ซูเหยาเจ้ารับปากได้หรือไม่ว่าถ้าข้าทำได้เจ้าจะยอมแต่งงานกับข้า”
ซูเจินอวี๋ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่พลันส่ายหน้ายิ้มเจื่อนหันไปทางจ้าวหว่านชิงราวกับเอ่ยขอโทษแทนหลานชายที่แก่นเกินเด็ก ทว่าจ้าวหว่านชิงกลับไม่ได้โกรธเคืองเพียงมองว่านี่เป็นเรื่องตลกน่าเอ็นดูของวัยเยาว์เท่านั้น
ด้านซูเหยาที่ถูกสายตาใสแจ๋วของเด็กชายจับจ้องอยู่ไม่วางตาก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอาเถอะสัญญาในวัยเด็กมันเชื่อถือได้อยู่แล้วอีกอย่างเจ้านี่ดูโง่จะตายพอโตขึ้นคงจะลืมมันไปด้วยซ้ำ…
“หากเจ้าทำได้จริง…ข้าก็จะแต่งด้วย”
คำตอบสั้น ๆ ที่เอ่ยออกไปเพื่อตัดบทกลับทำให้เสี่ยวหานเบิกตากว้าง ร่างเล็กกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามกลั้นไว้ไม่อยู่ หลังจากนี้เขาสัญญากับตนเองแล้วว่าจะเป็นบุรุษในแบบที่ซูเหยาต้องการ...
หลังจากล่ำลาเสร็จสิ้นจ้าวหว่านชิงก็กุมมือเล็กของซูเหยาพาเดินออกมายังรถม้าที่เช่าไว้ เสียงกีบม้าดังก้องเบา ๆ เคล้ากับเสียงล้อไม้บดไปตามทางดินทั้งสองขึ้นนั่งเคียงกันอยู่ด้านใน รถม้าเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางผู้คนที่บางตาลงเมื่อพ้นเขตเมือง
ระหว่างทางซูเหยาเอียงศีรษะพิงแขนเสื้อของหว่านชิง หลับตาลงราวกับปล่อยให้ความเหนื่อยล้าและความหวาดหวั่นถูกกลืนหายไปในอ้อมกายอบอุ่นนั้น จ้าวหว่านชิงเพียงยกมืออีกข้างขึ้นลูบศีรษะเบา ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยแววเอ็นดู
กว่ารถม้าจะแล่นถึงหมู่บ้านเล็กแห่งนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบเย็น จ้าวหว่านชิงอุ้มซูเหยาก้าวลงจากรถม้าที่หยุดหน้าบ้านของตน แต่ยังไม่ทันได้ยกยิ้มต้อนรับความสงบสุขหลังการเดินทางคิ้วเรียวของนางก็พลันขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อสายตาพบว่าหน้าบ้านมีอดีตแม่สามีกับอดีตพี่สะใภ้ที่นั่งหน้าตึงราวกับรอใครบางคนมานาน
จ้าวหว่านชิงวางซูเหยาลงบนพื้นพลางคว้ามือของเด็กหญิงมาจับไว้ ทว่านางยังไม่ทันเอ่ยทักหญิงชราที่หันมาเห็นนางก็รีบก้าวตรงมาพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ
“เจ้ามันไร้มารยาทนักปล่อยให้ข้าต้องนั่งรออยู่หน้าบ้านเจ้าตั้งหลายชั่วยาม!” น้ำเสียงของหญิงชราหนักแน่นเต็มไปด้วยการตำหนิ
“พวกเรามาหาเจ้าตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแต่ก็ไม่มีใครอยู่บ้านหรือว่าเจ้าพึ่งกลับมา…หว่านชิงเจ้าหายไปทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้คงไม่ได้ออกไปหาชายอื่นมาหรอกนะ...ให้ตายสิถึงเจ้าจะเอ่ยตัดขาดสกุลฉู่แล้วแต่ทว่าเจ้ายังไม่ได้หนังสือหย่าร้างจากสามีเจ้าทำเช่นนี้มันไม่ถูกต้องนะรู้หรือไม่...”
พี่สะใภ้ที่ยืนเคียงข้างรีบเอ่ยผสมโรงทันที แล้วมันก็ได้ผลจริง ๆ เพราะคำพูดนั้นเหมือนน้ำมันราดบนกองไฟทำให้หญิงชราหันมาชี้หน้าจ้าวหว่านชิงทันใดก่อนจะตะโกนด่าดังลั่น
“นังสารเลว! เจ้ายังไม่หย่าขาดกับลูกชายข้ากล้าคบชู้ได้อย่างไร!”