บทที่ 8 รักษาภรรยาขุนนาง [1/2]
บทที่ 8
รักษาภรรยาขุนนาง [1/2]
จ้าวหว่านหนิงก้าวเดินอย่างมั่นคงแขนข้างหนึ่งอุ้มซูเหยาเอาไว้ส่วนมืออีกข้างก็จับมือเล็กของเด็กชายเดินฝ่าฝูงชนจนพ้นถนนใหญ่มาถึงย่านโรงเตี๊ยมที่ประดับโคมไฟสว่างไสวไม่แพ้ด้านนอก เมื่อทั้งสามมาถึงด้านหน้าโรงเตี๊ยมเสียงหญิงสาวผู้หนึ่งก็ดังลอดออกมาจากด้านในแผ่วสั่นไปด้วยความร้อนรน
“เสี่ยวหานหลานข้าหายไปพวกเจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้เช่นไร! ไป...ส่งคนออกไปตามหาเขาอีก!”
เด็กชายที่ถูกจูงมืออยู่รีบเงยหน้าขึ้นดวงตาเปล่งประกายเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านในของโรงเตี๊ยม
“ท่านป้า!” พูดจบเสี่ยวหานแล้วก็วิ่งพุ่งเข้าไปด้านในทันที
จ้าวหว่านชิงไม่ได้เอ่ยร้องห้ามแต่อย่างใด นางทำเพียงอุ้มซูเหยาเดินตามเด็กชายเข้าไปด้านในเงียบ ๆ นัยน์ตาคู่สวยมองภาพหญิงวัยกลางคนสวมอาภรณ์งดงามสง่าผู้หนึ่งกำลังโอบร่างเล็กของเด็กชายเข้ามากอดน้ำตาเอ่อคลอ
“ในที่สุดก็เจอ....เจ้าหายไปที่ใดมารู้หรือไม่ป้าตกใจเพียงใด” นางเอ่ยกับหลานชายน้ำเสียงบอกถึงความโล่งใจ
“ท่านป้าเป็นพี่สาวผู้นี้ที่ช่วยข้าไว้...หากมิใช่นางข้าคงยังหาท่านไม่พบ” เสี่ยวหานเอ่ยเสียงใสพลางชี้นิ้วมาทางหว่านชิง
หญิงวัยกลางคนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะก้าวมาข้างหน้าเมื่อพบจ้าวหว่านชิงแววตาก็ฉายแววประเมินทันที หญิงผู้นี้การแต่งกายของนางดูเหมือนหญิงสาวชาวบ้านทั่วไปทว่าบรรยากาศรอบกายกลับดูไม่ธรรมดาเลย
“ข้าว่าซูเจินอวี๋ต้องขอบคุณแม่นางผู้มีน้ำใจที่ช่วยเหลือหลานชายของข้า”
“มิได้เป็นการลำบากเลยเด็กน้อยพลัดหลงย่อมต้องช่วยเหลือ”
ซูเจินอวี๋มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณาอยู่ชั่วขณะ นางสังเกตว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าคล้ายคลึงกับใครบางคนที่นางเคยพบเมื่อนานมาแล้ว
หรือว่าจะนางมีความเกี่ยวข้องกับเขา...
“คืนนี้ข้ากับหลานชายได้จองห้องส่วนตัวที่หอชิงหลัวร้านอาหารเลื่องชื่อในเมืองไว้ ได้ยินว่าห้องนั้นสามารถชมโคมไฟจากมุมสูงได้งดงามที่สุดในเมือง” ซูเจินอวี๋ยิ้มอ่อนแล้วเอ่ยต่อ “หากไม่รังเกียจ ข้าขอเชิญท่านและบุตรสาวไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่ ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือเสี่ยวหานครานี้”
“ใช่ ๆ พี่สาวไปกับพวกเรานะ ข้าอยากให้พี่สาวกับซูเหยาไปด้วยกัน!” เด็กชายรีบพยักหน้าเอ่ยน้ำเสียงสดใส
จ้าวหว่านชิงได้ยินคำเชิญเช่นนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองกับซูเหยาที่อุ้มอยู่ ทว่าเมื่อเห็นเด็กหญิงใช้สายตาจับจ้องซูเจินอวี๋ไม่วางตา จ้าวหว่านชิงหลงคิดว่าซูเหยาอยากตอบรับคำเชิญแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมานางจึงยกมือแตะศีรษะเด็กหญิงเบา ๆ พลางเอ่ยเสียงนุ่ม
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนฮูหยินซูแล้ว”
ซูเจินอวี๋ยิ้มบางสายตาเต็มไปด้วยความหมายที่ยากหยั่งถึง นางหันไปสั่งสาวใช้ให้นำทางก่อนทั้งหมดจะพากันมุ่งหน้าไปยังหอชิงหลัวที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟนับร้อยพาดสว่างไสวเหนือคูน้ำสะท้อนประกายงดงามดั่งภาพวาด
เมื่อจ้าวหว่านชิงจับมือซูเหยาก้าวเข้าสู่หอชิงหลัว กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศก็ลอยแตะจมูกทันที ตัวอาคารไม้สูงสามชั้นประดับโคมไฟสีแดงและสีทองระยิบระยับไปทั่ว ทุกโต๊ะบนชั้นล่างแน่นขนัดด้วยผู้คนที่ต่างหัวเราะดื่มกินอย่างสำราญ
ซูเจินอวี๋นำพวกนางขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นสูงสุด โต๊ะกลมใหญ่ถูกจัดไว้ใกล้ริมระเบียงบานกว้างเมื่อมองออกไปเบื้องนอกจะเห็นแม่น้ำทอดยาวสะท้อนแสงโคมไฟที่ลอยละล่องพลิ้วไหวไปตามสายลม บนท้องฟ้ายามนี้เต็มไปด้วยโคมลอยหลากสีประดับแสงพร่างพรายงดงามราวกับดาวหมื่นดวง
“ที่นี่…งดงามนัก” จ้าวหว่านชิงหลุดเอ่ยออกมาเบา ๆ ดวงตาส่องประกายตื่นตะลึง
ซูเหยาที่นั่งเคียงข้างแม้ไม่เอ่ยวาจา แต่เหลือบตามองบรรยากาศนึกเห็นด้วยกับคำพูดของจ้าวหว่านชิงเมื่อครู่
“หอชิงหลัวนี้หากไม่ใช่ตระกูลใหญ่ในเมืองหรือครอบครัวขุนนางระดับสูงก็ยากนักจะได้ห้องบนชั้นสาม ข้ามาทุกปีเพื่อชมทิวทัศน์งานเทศกาลโคมไฟจากที่นี่”
จ้าวหว่านชิงที่ได้ฟังคำพูดของซูเจินอวี๋ก็เริ่มตระหนักบางอย่างได้ ดวงตาคู่สวยมองสำรวจอาภรณ์และการกระทำของหญิงวัยกลางคนตรงหน้า อาภรณ์ที่นางสวมใส่แม้จะไม่หรูหราแต่ก็ทำจากผ้าชั้นดีส่วนสาวใช้ที่คอยปฏิบัติยังคล่องแคล่วมีมารยาทราวกับได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
นางคงเป็นภรรยาของขุนนางในเมืองหลวงสินะ....
“ซูเหยาเจ้าลองชิมสิ อร่อยมาก” เสี่ยวหานพูดเสียงสดใสพลางยื่นผลไม้เชื่อมที่สาวใช้นำมาให้ไปตรงหน้าซูเหยา
ซูเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อยสีหน้าไม่แสดงออกใด ๆ แต่ก็รับจานมาเงียบ ๆ พลางเหลือบตามองจ้าวหว่านชิงเล็กน้อย ด้านจ้าวหว่านชิงหัวเราะเบา ๆ พลางลูบศีรษะเด็กหญิงแววตาบ่งบอกถึงความเอ็นดู
“กินเถอะ...แล้วค่อยพิจารณาดูว่าเจ้าชอบหรือไม่”
บนโต๊ะค่อย ๆ ถูกนำอาหารขึ้นมาทั้งเป็ดปักกิ่งหนังกรอบหอมกรุ่น เนื้อกวางตุ๋นยาจีน และซุปไก่ใส่โสมหอมหวนจัดเรียงงดงามในถ้วยจานลายงดงาม
ผ่านไปไม่นานเสียงหัวเราะและกลิ่นอาหารหอมกรุ่นยังคงอบอวลรอบโต๊ะ ทั้งสี่นั่งร่วมรับประทานพลางพูดคุยถึงเรื่องราวของตนอย่างออกรสออกชาติ ทว่าจู่ ๆ ซูเจินอวี๋ที่กำลังยกตะเกียบคีบเนื้อกวางตุ๋นขึ้นมากลับหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดร่างบางสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะรีบยกมือกดลงที่อก
“ฮูหยิน!”