บทที่ 4 บุตรสาวของข้าแท้จริงคือนางร้าย... [2/2]
บทที่ 4
บุตรสาวของข้าแท้จริงคือนางร้าย... [2/2]
“โอ้…ไป๋เสวี่ยหรงเจ้าดูแข็งแรงดีนี่นา...ฮ่าฮ่า”
“นี่เจ้ากล้าดียังไงถึงผิดสัญญากับข้า! ไหนว่าร่างที่ข้าจะได้ครอบครองเป็นตัวประกอบที่ร่ำรวยมีชีวิตสุขสบายไง? เหตุใดถึงกลายเป็นหญิงที่ใกล้จะล้มละลายมีสามีไร้ความรับผิดชอบแบบนี้!” จ้าวหว่านชิงกัดฟันกรอดดวงตาคมกริบจ้องอีกฝ่ายพลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมีโทสะและความไม่พอใจ
หญิงชุดขาวทำหน้าแสร้งตกใจเกินจริงพลางยกมือขึ้นป้องปากราวกับกำลังหัวเราะคิกคัก
“อ้าว? เจ้าไม่คิดว่าชีวิตที่เจ้าต้องการมันน่าเบื่อเกินไปหรือ? เฮ้อ...ข้าอุตส่าห์หวังดีส่งเจ้าเข้ามาในร่างนี้เพื่อให้เจ้าได้มีชีวิตที่สนุกกว่าชาติก่อน ฮ่าฮ่า!”
“สนุกบ้าอะไรกัน!” จ้าวหว่านชิงแทบจะพุ่งไปบีบคออีกฝ่ายถ้าทำได้
หญิงชุดขาวที่เห็นจ้าวหว่านชิงเป็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนยกมือกอดอก
“เอาน่า ๆ ข้าก็ไม่ได้ผิดคำพูดเสียหน่อย ตอนนี้เจ้าก็อยู่ในร่างตัวประกอบพร้อมกับได้รับระบบหมอเทวดาที่สามารถหาเลี้ยงชีพได้จริงไหม? ส่วนเรื่องฐานะร่ำรวยเจ้าก็ไม่ได้กำหนดให้ชัดเจนนี่นาว่าก่อนหรือหลังที่เจ้าจะมาสวมร่าง...อย่างที่เจ้ารู้เดิมทีจ้าวหว่านชิงเป็นคนฐานะร่ำรวยแต่หลังจากบิดานางเสียชีวิตชีวิตของนางก็เริ่มตกต่ำอย่างทุกวันนี้”
ถ้อยคำล้อเลียนแฝงการกวนประสาทบีบรัดอกจ้าวหว่านชิงกัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงดังกรอด ๆ ในใจเดือดปุด ๆ แต่กลับไม่อาจเถียงออกมาได้ อีกฝ่ายไม่ได้ผิดคำพูดที่เคยให้ไว้กับนางเพียงแต่ใช้ช่องโหว่ของคำพูดมากลั่นแกล้งนางเท่านั้น
“นี่เจ้า...ตั้งใจจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกใช่ไหม? การคุกเข่าสารภาพผิดตอนนั้นเป็นแค่การเสแสร้งใช่ไหม?”
“โอ้....โดนจับได้แล้วสิ”
“นี่เจ้า!”
“ตอนนั้นข้าแค่ต้องถ่ายหลักฐานส่งให้เบื้องบนว่าเจ้ายินยอมรับข้อแลกเปลี่ยนแต่โดยดีเพื่อที่ข้าจะได้ไม่ถูกลงโทษ แต่ว่านะไป๋เสวี่ยหรงระบบหมอเทวดาที่ข้ามอบให้ก็ถือว่าชดเชยสิ่งที่ข้าทำผิดต่อเจ้าได้ไม่ใช่เหรอ หากเจ้าฝึกฝนทักษะการรักษาของระบบไปจนถึงSSบนโลกใบนี้เจ้าก็จะสามารถกลายเป็นหมอเทวดาที่เก่งกาจ ถึงตอนนั้นผู้คนมากมายจะนำเงินทองมากองตรงหน้าและคุกเข่าอ้อนวอนขอให้เจ้ารักษาพวกเขา พอได้รู้แบบนี้แล้วยังคิดว่าข้าไม่ดีอีกหรือไม่”
จ้าวหว่านชิงเม้มปากแน่นเพราะนางก็คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงทั้งสิ้น เดิมทีนางก็ตั้งใจจะใช้ระบบหมอเทวดาพัฒนาทักษะแล้วเปิดโรงหมอที่เลื่องชื่อเพื่อเลี้ยงชีพอยู่แล้ว
“จริงสิไป๋เสวี่ยหรง...ข้าว่าเจ้าอาจจะกำลังกังวลผิดเรื่อง”
“??”
“เหตุใดเจ้าถึงไม่สงสัยเลยว่าตนเองเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องอะไร”
“นั่นเพราะข้าเป็นตัวประกอบธรรมดาถึงอย่างไรก็ไม่มีเรื่องที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับพวกตัวละครเอกให้วุ่นวายอยู่แล้ว เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตให้ดีหย่ากับสามีไม่เอาไหนนั่นแล้วขอเจรจารับซูเหยามาเลี้ยงดู”
“หืม? เจ้าคิดจะเลี้ยงเด็กนั่น?”
“ใช่....จากที่ข้าดูจากความทรงจำของจ้าวหว่านชิงพวกเขาไม่ได้ต้องการเลี้ยงซูเหยาตั้งแต่แรกเพราะแบบนั้นเลยไม่ได้สนใจที่นางถูกจ้าวหว่านชิงทุบตี ข้าคิดว่าหากหลังหย่าข้าขอซูเหยามาเลี้ยงพวกเขาคงไม่ปฏิเสธด้วยซ้ำ”
หญิงชุดขาวยกมือลูบพัดขนนกในมือพลางหัวเราะคิกคักจนไหล่สั่นก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขัน
“ฮ่าฮ่า…ข้าคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจะพูดว่าอยากเลี้ยงเด็กน้อยคนนั้นไว้ข้างกาย ช่างน่าขันเสียจริง… น่าขำยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!”
จ้าวหว่านชิงชะงักใบหน้าฉายแววงุนงงอย่างเห็นได้ชัด คิ้วทั้งสองของนางขมวดเข้าหากันคล้ายกับคนเริ่มมีโทสะที่ถูกอีกฝ่ายหัวเราะพลางเอ่ยถามคนตรงหน้าน้ำเสียงปนความไม่พอใจ
“เจ้าหัวเราะอันใด”
หญิงชุดขาวจ้องนางด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ริมฝีปากบางค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มขยายกว้าง
“เพราะเจ้ากำลังทำเรื่องตลกอยู่น่ะสิ เจ้ามิอยากเข้าไปพัวพันกับพวกตัวเอกมิใช่หรือ? แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่เจ้าดึงมากอดไว้แน่น ๆ คือผู้ใด”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“เจ้าจำนิยายเรื่องบุปผาไร้รากได้หรือไม่?” หญิงชุดขาวถามพลางยกคิ้วขึ้นแววตาทอประกายสนุกสนานราวกับจงใจแกล้ง
จ้าวหว่านชิงเม้มปากแน่นพยายามขบคิดเพราะนี่เป็นนิยายที่นางเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว ไม่นานนักเศษเสี้ยวความทรงจำเกี่ยวกับเนื้อเรื่องก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในหัวของนาง
“ข้าจำได้...เจ้าจะบอกว่าส่งข้ามาเป็นตัวประกอบในนิยายเรื่องนี้หรือ?”
“ใช่แล้ว....เพียงแต่ข้าสงสัยว่าเจ้าจำได้หรือไม่ว่านางร้ายในนิยายเรื่องนี้มีชื่อว่าอะไร?” หญิงชุดขาวเอ่ยเสียงเย็นเยียบแต่กลับฟังดูยั่วเย้า
“ก็ต้องจำได้สินางชื่อฉู่ซูยะ.......”
ในใจของจ้าวหว่านชิงพลันสะท้านวาบริมฝีปากที่กำลังเอื้อนเอ่ยพลันปิดสนิทในฉับพลัน ภาพเด็กหญิงที่นอนซูบผอมอยู่บนเตียงผุดวาบเข้ามาในหัว จ้าวหว่านชิงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อจนเผลอเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าออกมา
“ดะ...เด็กคนนั้น…คือฉู่ซูเหยา…นางร้ายในนิยายเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ…”
หญิงชุดขาวยกยิ้มมุมปากโค้งงดงามแต่กลับเต็มไปด้วยความโหดร้ายก่อนจะเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่านางคือใคร...เช่นนั้นช่วยตอบข้าหน่อยไป๋เสวี่ยหรง...เจ้าจะยังอยากรับนางมาเลี้ยงเป็นบุตรอีกหรือไม่”
ปึง!
จู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่นจากด้านนอกห้องครัวทำเอาจ้าวหว่านชิงสะดุ้งเฮือก หญิงสาวหันขวับไปทางประตูใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างชัดเจน
“แค่เสียงของตกทำเจ้ากังวลได้เพียงนี้เลยหรือ”
“ข้าแค่ไม่อยากให้ใครคิดว่าข้าเป็นบ้าพูดคนเดียวในห้องครัว”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ...ตอนนี้เจ้ารีบตอบมาได้แล้วว่ายังอยากรับเลี้ยงเด็กคนนั้นอยู่หรือไม่”
คำถามนั้นเหมือนหอกแหลมแทงลึกเข้าใจกลางอกของจ้าวหว่านชิง หญิงสาวเม้มปากแน่นแม้นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับชะตากรรมของเหล่าตัวเอกแต่ภาพดวงตาเศร้าหมองและร่างกายที่ผอมโซของเด็กน้อยก็ผุดขึ้นในห้วงคำนึง หากนางส่งซูเหยากลับไปหาครอบครัวสามีนั่นคงไม่ต่างอะไรกับผลักเด็กไปในขุมนรกเลยไม่ใช่หรือ...
“ข้า...” นางเสียงสั่นอย่างลังเลยังไม่ทันได้ตัดสินใจเด็ดขาด
“เสียดายข้าไม่มีเวลาแล้ว...ถึงเวลาที่ข้าต้องไปทำหน้าที่พิพากษาความตายของมนุษย์แล้ว”
หญิงชุดขาวถอนหายใจเฮือกใหญ่สีหน้าฉายชัดถึงความขัดใจ ดวงตาคมสวยคู่นั้นแวววาวด้วยความหงุดหงิดที่ไม่ได้ยินคำตอบสุดท้ายแต่เพียงเสี้ยวอึดใจน้ำเสียงของนางกลับอ่อนลงอย่างประหลาด
“เฮ้อ...ข้าต้องไปแล้วแม้จะหงุดหงิดไม่ได้ฟังคำตอบที่ต้องการก็เถอะ”
“หากอยากรู้อีกสามวันเจ้าก็ติดต่อข้ามาอีกสิ ถึงตอนนั้นข้าคงให้คำตอบได้”
หญิงชุดขาวจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของจ้าวหว่านชิงก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนผิดไปจากก่อนหน้า
“ไป๋เสวี่ยหรงเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว...นี่...เป็นการติดต่อครั้งสุดท้ายแล้ว”
“เจ้า…หมายความว่าอย่างไร?”
“หลังจากนี้ข้ามีงานที่ต้องทำมากมายคงไม่มีเวลาว่างไปอีกหลายร้อยปี แต่เอาเถอะอย่างน้อยก่อนจากลาข้าก็ควรจะขออวยพรให้เจ้า” รอยยิ้มเล็ก ๆ แต้มบนริมฝีปากก่อนที่หญิงชุดขาวจะโบกมือเบา ๆ
“ไป๋เสวี่ยหรงข้าขอให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในชาตินี้....และข้าก็เชื่อมั่นว่าเจ้าจะเลือกในสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเจ้าเสมอ....” เสียงนุ่มนวลของหญิงชุดสาวดังขึ้นพร้อมการโบกมือลาราวกับเป็นการปิดฉากทุกสิ่ง
ทันใดนั้นหน้าต่างระบบดับวูบหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าและเงาสะท้อนของจ้าวหว่านชิงที่กำลังยืนตัวแข็งงันอยู่ในครัว หัวใจของนางเต็มไปด้วยความลังเลหนักอึ้งคำตอบที่ไม่ได้พูดออกไปยังคงค้างคาอยู่ในอก