บทที่ 5 ข้าต้องการหย่า [1/2]
บทที่ 5
ข้าต้องการหย่า [1/2]
เวลาล่วงเลยผ่านไปความลังเลในใจของจ้าวหว่านชิงยังคงเหมือนก้อนหินหนักที่ถ่วงเอาไว้ในอก นางไม่อาจตัดสินใจได้เสียทีว่าจะรับเลี้ยงนางร้ายวัยแปดขวบอย่างซูเหยาดีหรือไม่ แต่กระนั้นแม้ปากใจจะยังไขว้เขวทว่ามือของนางก็ยังคงทำหน้าที่ดูแลเด็กน้อยทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
จ้าวหว่านชิงบิดผ้าขาวชุบน้ำอุ่นในอ่างก่อนค่อย ๆ เช็ดตัวให้เด็กน้อยที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงไม้ที่ทรุดโทรมเมื่อผ้าสัมผัสลงบนผิวบอบบางของซูเหยานางก็เผลอชะงักไปชั่วครู่
“นี่มัน....”
นัยน์ตาคู่สวยมองรอยช้ำตามแขนขาผิวซีดเหลืองกับร่างกายที่ผอมจนเห็นกระดูกเด่นชัดของเด็กน้อยวัยแปดขวบ ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของจ้าวหว่านชิงเจ็บหน่วงนางกัดริมฝีปากแน่นความสงสารไหลทะลักจนไม่อาจกลั้นไว้ได้
“เหยาเอ๋อร์…เจ็บหรือไม่? เจ็บหรือไม่…”
คำถามพรั่งพรูออกมาซ้ำ ๆ ขณะมือสั่นสะท้านเช็ดตัวให้ต่อไป แต่เด็กน้อยกลับไม่ตอบเพียงส่ายหน้าและใช้สายตาจับจ้องการกระทำของจ้าวหว่านหนิง
“ทำไมถึงได้ทำร้ายเด็กอย่างเจ้าได้ลงกัน....เด็กอย่างเจ้าไม่มีความผิดด้วยซ้ำ”
“ที่ทำร้ายเพราะเด็กไม่มีทางสู้ไง....ส่วนความผิดของข้าก็คืออ่อนแอจนปกป้องตนเองไม่ได้...”
“ไม่ใช่นะคนที่ผิดคือผู้ยะ.....”
“ที่ร้องไห้เพราะสงสารข้าใช่ไหม?”
“ข้า.....”
“ไม่ต้องรู้สึกสงสารข้าหรอก ข้าชินชากับการถูกทำร้ายแล้ว”
คำพูดที่แสนนิ่งเฉยราวกับชินชาของเด็กน้อยวัยแปดขวบตรงหน้าทำให้จ้าวหว่านชิงทนต่อไปไม่ไหวจนต้องดึงเด็กน้อยเข้ามากอดแนบอก หยาดน้ำตาแห่งความส่งสารและเห็นใจร่วงลงบนเรือนผมเส้นบางความอัดอั้นที่กล้ำกลืนมาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้
“เจ้าไม่ควรต้องชินกับการถูกทำร้ายเลยนะ…ชีวิตของเจ้าควรเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ ไม่ใช่ความเจ็บปวดเช่นนี้....อย่าโทษตัวเองเลยเพราะความผิดไม่เคยอยู่ที่เจ้าแต่เป็นความผิดของผู้ใหญ่ต่างหาก”
จ้าวหว่านชิงเอื้อมแขนโอบกอดกระชับร่างเล็กเข้ามาแนบอก ความอาทรที่พลุ่งพล่านในใจทำให้นางเผลอสะอื้นน้ำตาเอ่อคลอเมื่อรับรู้ถึงความสั่นสะท้านเบา ๆ จากเด็กน้อยในอ้อมแขน
“เจ้าเป็นเด็กที่บริสุทธิ์และควรค่าแก่การถูกรักและปกป้องเสมอเข้าใจหรือไม่” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางกอดแน่นราวกับต้องการปลอบประโลมเด็กน้อยที่จิตใจบอบช้ำ
ซูเหยาไม่เอ่ยถ้อยคำใดออกมาเพียงหลับตาลงแนบซุกหน้ากับอกของอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน ความอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้นทำให้ความหวาดหวั่นค่อย ๆ คลายลงทีละน้อย น้ำตาใสหยดหนึ่งร่วงเงียบ ๆ ลงบนอกเสื้อของหว่านชิงเผยให้เห็นถึงความเปราะบางที่เด็กน้อยซ่อนเอาไว้
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งอาการป่วยของซูเหยาค่อย ๆ ดีขึ้น จ้าวหว่านชิงเริ่มมีเวลาว่างจนนางตัดสินใจได้ว่าต้องหย่ากับบุรุษสกุลฉู่เสียที แต่ทว่าหัวใจกลับยังติดค้างปัญหาใหญ่กว่าเพราะเด็กน้อยที่นั่งกินเกี๊ยวน้ำอยู่ข้าง ๆ นางตอนนี้
หญิงสาวหวนนึกถึงเนื้อหาในนิยายที่เคยอ่านขึ้นมา หลังจากที่ฉู่จิ่นหานบิดาแท้ ๆ ของซูเหยาสอบจอหงวนได้อันดับหนึ่งเขาย้ายครอบครัวไปที่เมืองหลวง ภรรยาตายของเขาตายเพราะจมน้ำทำให้หลังจากเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเขาก็แต่งงานใหม่กับบุตรสาวของขุนนางชั้นสูง ในท้ายที่สุดซูเหยาไม่ได้กลายเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งแต่กลับกลายเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งอำนาจและเงินทองล้นมือ
จ้าวหว่านชิงกวาดสายตามองบ้านเรือนที่ทรุดโทรมของตนพลางทอดถอนใจสายตาไล่ไปตามผนังที่แตกร้าวจู่ ๆ ความจริงหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว จ้าวหว่านชิงที่ตระหนักบางอย่างได้ก็กำมือแน่นราวกับหาทางออกให้ตนเองได้แล้ว…
“บางทีการที่ข้าส่งเจ้ากลับไปหาบิดาอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการให้เจ้าอยู่กับข้าก็ได้”
จ้าวหว่านชิงพึมพำกับตัวเอง แม้ในใจจะปวดหน่วงอยู่บ้างแต่เมื่อมองด้วยเหตุผลหากยึดตามเรื่องราวในนิยาย ชีวิตของเด็กน้อยผู้นี้ย่อมมีอนาคตที่รุ่งเรืองกว่าการอยู่ในบ้านทรุดโทรมของตนเป็นไหน ๆ
“เป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงย่อมดีกว่าเป็นบุตรสาวของหมอที่ยังไม่รู้ชะตาภายภาคหน้าอย่างข้าอยู่แล้ว...”
หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเด็กน้อยที่นั่งกินเกี๊ยวน้ำอยู่ข้าง ๆ กำลังแอบฟังคำพูดนางและเริ่มลอบวางแผนการบางอย่างในใจเงียบ ๆ
“นี่เหยาเอ๋อร์...วันนี้พวกเราไปที่บ้านท่านย่าของเจ้ากันเถอะ”
“ท่านจะทิ้งข้าไว้กับพวกเขาหรือ....”
“ไม่ใช่....ข้าเพียงแค่มีเรื่องอยากพูดกับท่านย่าของเจ้าเท่านั้น...ที่อยากพาเจ้าไปด้วยเพราะหลังจากคุยกับท่านย่าเจ้าเสร็จแล้วพวกเราจะเดินทางเข้าเมืองกัน”
จ้าวหว่านชิงรีบอธิบายให้เด็กหญิงตรงหน้าฟังอย่างร้อนรน นางตั้งใจว่าเมื่อได้จดหมายหย่าจากสกุลฉู่แล้วจะเจรจากับพวกเขาขอให้นางเลี้ยงซูเหยาจนกว่าฉู่จิ่นหานจะส่งจดหมายมาให้ทุกคนเดินทางไปเมืองหลวง
“ข้าอิ่มแล้วพวกเราไปกันเถอะ”