บทที่ 2 ใส่ร้าย
สวี่อันอันนิ่งไป ความทรงจำที่เลือนรางก็ค่อยๆชัดขึ้นมา
ปี2004 ปีนั้นเธออายุ19ปี เพิ่งจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านกับสวี่ฉาฉา ได้เจอกับพวกอันธพาล พวกเธอสองคนได้รับบาดเจ็บจากการขัดขืน
ถึงแม้สวี่อันอันจะได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่า แต่ทุกคนในบ้านก็ได้เข้ามากล่าวโทษเธอ
หน้าผากของเธอนั้นแตก เย็บไปหลายเข็ม ส่วนสวี่ฉาฉาที่หน้าผาปูดโนขึ้นเพียงเท่านั้น ทำให้เธอต้องโดนกล่าวหาว่า “ให้พวกอันธพาลนั้นทำร้ายพี่สาว”
ชาติที่แล้ว คนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเธอก็ถามเธอเช่นนี้เช่นกัน เธอพยายามจะอธิบาย ขอโทษ แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคือความเย็นชา ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอ
เพราะฉะนั้น ครั้งนี้เธอไม่คิดอธิบายอะไรทั้งนั้น เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ
สวี่อันอันดึงสติกลับมา แล้วค่อยๆถามขึ้น “แล้วเธอตายไปหรือยัง?”
สายตาของสวี่กั๋วจื่อนั้นสะดุดและอึ้งไป แล้วแสดงความโมโหออกมาแบบสุดๆ
เขาตะคอกพูดขึ้น “สวี่อันอัน ที่แกพูดออกมานั้นคือคำพูดของคนหรือเปล่า? ทำไมแกถึงโหดร้ายขนาดนี้ ถึงได้สาปแช่งพี่สาวตัวเองให้ตาย”
พี่ใหญ่สวี่จื่อเจี้ยนแสดงความโกรธออกมาเป็นฟืนเป็นไฟ รีบพุ่งตัวเข้ามาหน้าสวี่อันอัน แล้วจ้องถมึนทึนใส่เธอ
“สวี่อันอัน ทำไมบ้านพวกเราถึงได้มีคนจิตใจโหดเหี้ยมเช่นเธอ? ตอนนั้นไม่ควรพาเธอกลับมาตั้งแต่แรก ให้แกตายอยู่ข้างนอกก็ดีแล้ว”
สวี่อันอันจ้องไปมองสวี่จื่อเจี้ยนอย่างจริงจัง แต่ไม่ได้พูดอะไร
พี่น้องที่อยู่ด้านหลังเขาเดินเข้ามาเพื่อจะต่อว่าสวี่อันอัน แต่ถูกฟางหงหลันนั้นห้ามไว้
ฟางหงหลันนั่งลงด้านหน้าเตียงผู้ป่วย แล้วจับมือของสวี่อันอันและยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน
“อันอัน แม่รู้ว่าหนูต้องลำบากใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกไปหลายปี หลังจากรับหนูกลับมา พวกเราพยายามชดเชยสิ่งที่ขาดหายไป ให้หนูได้เรียนหนังสือต่อ ตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหนู เข้ามหาวิทยาลัยยังต้องกู้เงินไปเรียน หนูควรจะพอใจในชีวิตตอนนี้”
ฟางหงหลันพูดพร้อมกับสายตานั้นเริ่มแดงก่ำขึ้นมา “หนูไม่ควรทำร้ายพี่สาวของหนูแบบนี้ ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กที่แม่อุ้มมาผิด แต่แม่ได้เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เล็ก ความรักที่แม่มีต่อพวกหนูคือเท่าเทียมกัน หนูอย่าได้มีอคติต่อพี่สาวอีกเลย ดีไหม?”
คำพูดนี้ฟังไพเราะมากกว่าเสียงเพลงเสียอีก เมื่อมองดูใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เธอหวนคิดถึงคำพูดของฟางหงหลันก่อนที่เธอจะตาย สวี่อันอันรู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังอุ้มน้ำแข็งก้อนหนึ่งอยู่ แต่ไม่ใช่แม่ของตนเอง
พ่อแม่ช่วยเธอจ่ายค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัย โอกาสนี้ถือว่าได้ไม่ง่าย
แต่ว่ามันเป็นเพียงการสร้างให้เห็นฐานะทางการเงินและชื่อเสียงของตระกูลสวี่เพียงเท่านั้น ที่จะทำให้ลูกๆทุกคนนั้นจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเพียงเท่านั้น เช่นนี้แล้วก็จะไม่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลนั้นเสียหน้า
สวี่ฉาฉาพักในห้องเจ้าหญิง แต่เธอพักห้องเก็บของ การกินและเสื้อผ้าที่สวมใส่ มีชิ้นไหนบ้างที่ไม่ใช่ของเหลือของสวี่ฉาฉา
ยังกล้าที่จะพูดว่าเท่าเทียมกัน มันเป็นเรื่องน่าขำไปหรือเปล่า?
นับประสาอะไรที่สวี่อันอันได้รับบาดเจ็บถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขายังไม่ใส่ใจเลยสักนิด ยังเข้ามาต่อว่ากล่าวโทษเธออีก
ไม่ถามต้นสายปลายเหตุ รู้เพียงอย่างเดียวคือกล่าวโทษเธอ
สวี่อันอันตอบกลับเสียงเบาๆ เธอไม่อยากพูดแม้แต่คำเดียว
พี่สี่ สวี่จื่อซงทนดูต่อไปไม่ไหว ได้ตะคอกด่าใส่สวี่อันอันว่า: “สวี่อันอัน แกจะเกินไปแล้ว ทำกับฉาฉาขนาดนี้แล้วยังว่าแกไม่ได้เลยหรือไง? ปกติแกจะก่อเรื่องอะไรก็เป็นเรื่องของแก ตอนนี้กลับมาสาปแช่งฉาฉา จิตใจของแกทำด้วยอะไร?”
พี่สามสวี่จื่อฉินพูดคล้อยตามเช่นกัน “สวี่อันอัน สำนึกฐานะของตัวเองด้วย สิ่งที่เธอมีทุกวันนี้เป็นเพราะตระกูลสวี่ทั้งนั้น เธอยังมีอะไรที่ไม่พออีก? หรือเธอจะทำให้ฉาฉาตายไปจริงๆถึงจะพอใจ?”
พี่รองสวี่จื่อเยี่ยนขยับปากขึ้นเล็กน้อย เหมือนอยากพูดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง
สวี่อันอันดึงมือกลับมาโดยไม่พูดอะไร สายตาไม่ได้แสดงอารมณ์แต่อย่างใด เธอเอาหัวอิงไปอีกด้าน เธอไม่อยากพูดโต้แย้งอะไรกับพวกเขาอีก
สำหรับคนที่ไม่เชื่อเธอ พูดออกไปก็ถือเป็นการเสียเวลา
“คำพูดของพวกคุณฉันได้ยินจนหมดแล้ว แล้วพวกคุณจะทำโทษฉันยังไง?”
เมื่อคำพูดนี้จบลง ในห้องนั้นก็เงียบสงัดขึ้นมา
เสมือนคิดไม่ถึงว่าสวี่อันอันนั้นจะพูดเช่นนี้ออกมา ฟางหงหลันอึ้งไป สายตาแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
สวี่กั๋วจื่อถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “งั้นเอาแบบนี้ เธอเอารายชื่อการแข่งสุนทรพจน์ของเธอให้ฉาฉาเสีย ส่วนเธอก็รอไปก่อน ปีหน้าค่อยสมัครสอบใหม่”
เหตุผลที่สวี่อันอันสมัครสอบแข่งสุนทรพจน์นี้ ก็เพื่อซูจิ่งเฉิง เพื่ออยากจะเข้าใกล้เขามากขึ้น
ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยชอบวิชาเอกที่เรียนอยู่ตอนนี้สักเท่าไหร่ แต่เพื่อซูจิ่งเฉิง เธอพยายามตั้งใจเรียน นี่เป็นคนที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ
คนที่อยู่ในนั้นต่างก็คิดว่าเธอจะร้องไห้ออกมาและโวยวายอย่างแน่นอน แต่ใครจะรู้ว่า……
สวี่อันอันยิ้มขึ้น “ได้ค่ะ”
คำตอบนี้ตอบมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนนั้นตั้งรับไม่ทัน
“สวี่ฉาฉายังอยากได้อะไรอีก ฉันจะสละให้เธออีก”
ตั้งแต่เด็กยังโต เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซาก สวี่อันอันคิดเพียงว่า อดทนอีกหน่อยทุกเรื่องก็จะผ่านไป
แต่เธอคิดผิด การถอยหนึ่งก้าวไม่ใช่จะเป็นอิสระเสมอไป แต่อจจะเป็นการได้คืบจะเอาศอก