2.หญิงอัปลักษณ์
ซูเหยามองสองสาวที่จับเธอแต่งตัวใหม่ราวกับเป็นตุ๊กตา บนผมก็ประดับไปด้วยเครื่องหัวดูสวยงาม ปิ่นสองอันปักเป็นชั้นไต่ระดับ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในซีรี่ย์ที่เคยดู
“โหว!..ถ้าไม่ติดว่าเด็กคนนี้มีสิวเยอะคือสวยมากเลยนะเนี่ยะ ไม่เป็นไรต่อไปพี่จะดูแลหน้าน้องเอง” เธอบอกกับเจ้าของร่างพร้อมกับยิ้มกริ่ม
“ยามแม่นางน้อยยิ้มน่าเอ็นดูมากเลยนะเจ้าคะ เสียทีไม่น่าป่วยมีตุมแดงบนใบหน้าเลย” คนที่หวีผมให้เอ่ยขึ้น
“นี่เขาเรียกว่าสิว ถ้าดูแลรักษาดีๆ เดี๋ยวก็หาย ว่าแต่พี่สองคนชื่ออะไร แล้วทำไมต้องมาดูแลฉันแบบนี้ล่ะ ใครสั่งเหรอ” เมื่อมีโอกาสซูเหยาก็รีบตั้งคำถามทันที
“ที่นี่จวนฉินอ๋องเจ้าค่ะ ท่านอ๋องสั่งให้ดูแลแม่นางอย่างดี อย่างอื่นพวกเราไม่รู้”
ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มเล็กน้อย “ดูท่าสองคนนี้จะไม่รู้อะไรอย่างที่พูดจริงๆ ว่าแต่เด็กคนนี้เป็นใครกันนะ” เมื่อสืบความจากคนทั้งคู่ไม่ได้ซูเหยาจึงหันมาสนใจตัวตนของเด็กคนนี้แทน ก่อนจะขอให้สองสาวพาออกไปข้างนอก
นัยน์ตาสวยมองไปรอบทิศทาง ตามมุมต่างๆ ดูว่างเปล่า ไม่มีการติดกล้องหรือแม้แต่โดรนที่ใช้ถ่ายทำซีรี่ย์ มีแค่สาวใช้ที่เดินไปมาและบ่าวที่กำลังรดน้ำพรวนดินต้นไม้ ทำให้ซูเหยาเริ่มแน่ใจแล้วว่าเธอหลุดมาอยู่ในยุคโบราณจริงๆ และยังอยู่ในร่างของเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าเธอเก้าปี เพราะในยุคปัจจุบันซูเหยายี่สิบหกแล้ว
“เอาไงดีล่ะทีนี้” คนต่างยุคได้แต่คิดในใจ
“นี่หรือชายาที่ท่านอ๋องรับมา หน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว เหตุใดท่านอ๋องถึงได้หน้ามืดตามัวนัก” เสียงหยามเหยียดดังขึ้น ทำให้ซูเหยาต้องหันไปหาทันที
“ใครอีกล่ะเนี่ยะ ทำเสียงอย่างกับตัวอิจฉา” เธอนึกในใจก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อสร้างมิตร
เพราะดูท่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มาดีนัก ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนจะหาเรื่องมากกว่า สองสาวใช้รีบคำนับคนที่พึ่งเอ่ย ทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันที
“แม่นางรีบคำนับกุ้ยเฟยเร็ว”
“ห๊ะ!..กุ้ยเฟย สนมฮ่องเต้น่ะเหรอ” ซูเหยาพูดเสียงหลง
“ใช่แล้ว..กุ้ยเฟยอย่าถือโทษนางเลยนะเพคะ นางพึ่งเข้ามายังไม่รู้ทำเนียมปฎิบัติอันใด”
“ชิ!..พวกไร้สกุลก็แบบนี้” คำเย้ยหยันยังคงเอ่ยออกมา แต่ก็หายไปเมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามา
“เสด็จป้าสบายดีหรือไม่เพคะ” เอ่ยด้วยเสียงหวานนอบน้อมต่างจากเมื่อครู่ยิ่งนัก คนที่พึ่งเข้ามาอยู่ใหม่ถึงกับคว่ำปากมองบน “โอ้แม่เจ้านางร้ายชัดๆ”
คิดเพียงแค่นั้นซูเหยาก็รีบทำตามสาวใช้ทันที พร้อมกับเลียนแบบท่าทางของคนที่พึ่งหยันตัวเองไปด้วย เพราะคิดว่าคนที่ถูกเรียกว่าเสด็จป้านี่คงมีฐานะสูงส่งไม่น้อย ขนาดกุ้ยเฟยยังเคารพ เธอก็ต้องทำตัวดีๆ เข้าไว้
“ตามสบายเถอะ ป้าแก่แล้วก็เจ็บป่วยออดๆ แอ่ดๆ ไปตามเรื่อง ว่าแต่เจ้าเถอะมาถึงนี่มีเรื่องใดกัน” ไท่เฟยเอ่ยกับหลานสาว ซึ่งอันที่จริงเป็นเพียงบุตรบุญธรรมของน้องชายเท่านั้น หาได้เกี่ยวดองเป็นญาติกันจริงๆ ไม่
แต่นางก็โชคดีที่ฮ่องเต้เกิดพอพระทัย จึงแต่งตั้งให้เป็นสนม และได้รับตำแหน่งกุ้ยเฟยในเวลาต่อมา แต่ก็มักจะมาที่จวนนี้บ่อยครั้ง โดยอ้างว่ามาเยี่ยมตน แต่อันที่จริงกุ้ยเฟยนั้นมีใจให้บุตรชายนางเสียมากกว่า ที่มาครานี้คงหมายจะมาดูหน้าสตรีที่เฟยหรงพาเข้าจวนเป็นแน่
“จินจูก็แค่มาเยี่ยมเสด็จป้าตามปกติเท่านั้นเพคะ พอดีพบเห็นสตรีนางนี้ยืนอยู่ในสวน จึงได้เอ่ยทักทาย แต่คงเพราะเป็นคนบ้านนอกจึงได้ไร้มารยาท เอ่ยวาจาไร้สกุลออกมา หม่อมฉันยังคิดว่าจะช่วยอบรมนางอยู่เลย เสด็จป้าคิดเห็นเป็นเช่นไรเพคะ” เอ่ยจบก็หันมายิ้มร้ายใส่สตรีตัวน้อย ซึ่งดูเหมือนจะเด็กกว่าตนหลายปี ก็แน่ล่ะเจ้าของร่างนี้พึ่งจะย่างเข้าสิบเจ็ดปีเอง
“อย่าเชียวนะคุณป้า หนูไม่อยากอยู่กับผู้หญิงคนนี้” ยืนนึกพร้อมกับลุ้นไปด้วย กลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับไปฝึกมารยาทอย่างที่อีกฝ่ายบอก กฎเกณฑ์ในวังแม้จะไม่เคยเรียนมา แต่ใครก็รู้ว่ามันยากลำบากแค่ไหน
“ขอบใจกุ้ยเฟย แต่ที่นี่มีคนมากมายที่สามารถอบรมว่าที่พระชายาเฟยหรงได้ อย่ากังวลไปเลยนะ” ว่าจบก็หันมาหาคนที่ยืนนิ่งแข็งทื่ออยู่
“ตามข้ามา” เสียงเย็นเฉียบเปล่งออกมา จนคนฟังนั้นขนลุก ซูเหยาเงยหน้ามองสองสาวใช้ อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้ เธอเลยต้องเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้
“อะไรอีกล่ะคราวนี้ อยากรู้จริงๆ เลยใครพาฉันมาที่นี่เนี่ยะ” เสียงในหัวดังขึ้นราวกับคนตะโกน แต่มันก็อยู่แค่ในความคิดเท่านั้นแหละ ใครจะกล้าตะเบ็งเสียงออกมากัน
เปลือกตาสวยกะพริบถี่เมื่อมาถึงห้องโถงของจวน ซึ่งมันดูโอ่อ่าอลังการมาก ทุกอย่างถูกประดับตบแต่งอย่างหรูหรา บ่งบอกถึงฐานะเจ้าของเป็นอย่างดี
“นั่งลงสิ” เสียงกดต่ำราบเรียบดังขึ้น ทำเอาซูเหยาถึงกับหน้าถอดสี เพราะไม่รู้ต้องโดนอะไรบ้าง
“เฟยหรงนะ เฟยหรงไม่รู้ไปหลอกเอาลูกเต้าเหล่าใครมา ว่าแต่บาดแผลเจ้าหายดีแล้วหรือ” จากเสียงกดต่ำเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด
“หายแล้วค่ะ” ตอบออกไปด้วยถ้อยคำปกติ จึงถูกสาวใช้สองนางสะกิดทันที
“ต้องพูดต่อท้ายว่าเพคะด้วย”
“อ่อ..โทษทีฉันลืม” รีบตอบออกไปก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ แล้วรีบเอ่ยถ้อยคำใหม่อีกครั้ง
“หายแล้วเพคะ เอ่อ..คือหม่อมฉันไม่ค่อยเข้าใจการใช้คำเท่าไหร่ อย่าถือสาเลยนะ..เพ..คะ” เพราะกลัวจะพูดผิดจึงต้องค่อยๆ เอ่ยถ้อยคำออกมา
“ช่างเถอะ ค่อยๆ เรียนรู้ไป เจ้าเองก็คงอยู่ที่นี่ไม่นานกระมัง เอาไว้เฟยหรงหาทางหลบเลี่ยงการแต่งงานได้ เขาก็คงคืนอิสระให้เจ้าเอง” ไท่เฟยเอ่ยใจเย็น
หากบุตรชายไม่บอกเรื่องราวทั้งหมดก่อน นางก็คงไม่เห็นดีด้วยที่จะรับสตรีไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามา หน้าตาก็อัปลักษณ์ราวกับคนเป็นโรค
“ไปพักเถอะ ถงลี่ เสี่ยวมี่หาข้าวหาปลาให้นางกินด้วย ตัวผอมอย่างกับไม้เสียบผี ไม่รู้เฟยหรงไปเก็บมาจากไหน เห้อ..ข้าเห็นแล้วจะเป็นลม” เอ่ยจบก็ยกนิ้วขึ้นกดขมับ ซูเหยาได้แต่นึกขำในใจ
“เห้อ!..คนสมัยนี้แม้แต่สิวก็ไม่รู้จัก แล้วก็อีกอย่างคนที่ตายไปแล้วไม่รู้กี่วัน พอตื่นขึ้นมาก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งสี่ห้าวัน จะให้มีน้ำมีนวลเหมือนคนปกติได้ไง รอหน่อยนะคะเดี๋ยวเด็กคนนี้จะสวยให้ดู”
เดินคิดในใจพร้อมกับยิ้มคนเดียวจนกระทั่งออกมาถึงสวน ซูเหยาเลยได้สังเกตไปรอบจวนอีกครั้ง ดูเหมือนที่นี่จะถูกแบ่งเป็นหลายโซน และมีหลายเรือน โดยมีทางเดินมุงหลังคาทอดยามเชื่อมต่อกัน มันดูยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างมาก ต้นเหมยต้นหลิวมีไว้ประดับทั่วทุกมุม
“นี่พี่ถ้าดอกเหมยผลิบานคงสวยมากเลยใช่ไหม”
“สวยมากเจ้าค่ะ ดีที่ท่านอ๋องไม่ตัดทิ้ง เพราะไม่โปรดตั้งแต่คนรักเสียไปเมื่อตอนท่านอ๋องอายุยี่สิบสอง”
“เอ๋!..ท่านอ๋องของพวกพี่เคยแต่งงานแล้วเหรอ”
“ยังไม่ได้แต่งเจ้าค่ะ เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน นางถูกสังหารตายก่อนวันส่งตัว และที่สำคัญนางตั้งครรภ์ด้วย เรื่องนี้ท่านอ๋องแค้นใจเป็นอย่างมาก”
“น่าสงสารจัง เสียทั้งเมียทั้งลูก” ซูเหยาบอกเสียงเศร้า
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่เจ้าค่ะ นางไม่ได้ตั้งครรภ์กับท่านอ๋อง เด็กในครรภ์เป็นของบุรุษอื่น” เสี่ยวมี่กระซิบ
“หา!!..ทำไมล่ะ” คนฟังร้องออกมาเพราะตกใจ
“ได้ยินว่าท่านอ๋องรักนางมาก จึงไม่อยากให้ผู้คนครหา รักษาระยะห่างตลอด ไม่เคยทำผิดจารีตประเพณีเลย แต่นางตั้งครรภ์เช่นนี้ก็แสดงว่าคบชู้สู่ชายเจ้าค่ะ”
“อ่อ..อย่างนี้นี่เอง” เสียงตอบรับเบาๆ ดังขึ้น เมื่อเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งดีแล้ว ซูเหยาเลยได้แต่นึกเห็นใจฉินอ๋อง
“เอ๋!..แล้วทำไมกุ้ยเฟยกับไท่เฟยถึงบอกว่าฉันคือชายาท่านอ๋องล่ะ งงนะเนี่ยะ อธิบายเรื่องนี้ทีสิ” ซูเหยารีบคาดคั้นทันทีเมื่อมีโอกาส เพราะดูท่าสองคนนี้ก็คงอยากเล่าอยู่ไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่บอกเรื่องในอดีตด้วยหรอก
“เรื่องนี้คงเป็นเพราะท่านอ๋องได้รับพระราชทานสมรสกระมัง ได้ยินว่าปฎิเสธไปแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ยังดึงดันจะให้อภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีให้ได้ ท่านอ๋องเลยบอกว่าตนนั้นมีพระชายาอยู่แล้วไม่อาจรับสตรีใดเข้ามาได้อีก ข้าน้อยทั้งสองก็รู้แค่นี้แหละเจ้าค่ะ” เสี่ยวมี่เอ่ยราวกับกระซิบ
“หมายความว่าฉันก็ต้องเป็นชายาหลอกๆ สินะ” นิ้วเรียวยกขึ้นชี้ใบหน้าตนเอง ก่อนจะทำหน้าแหยเบื่อเซ็ง
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” ถงลี่เอ่ยสัมทับคำ
“แล้วท่านอ๋องที่ว่านี่เขาไปไหนล่ะ ตื่นมายังไม่เห็นเลย ตอนนี้เขาอายุเท่าไหร่ คงไม่ใช่อ๋องแก่หรอกนะ” เมื่อนึกถึงอายุเจ้าของร่างซูเหยาก็ขนลุก เพราะอ๋องส่วนมากก็น่าจะอายุเยอะ ไม่แน่อาจจะผมขาวแล้วด้วย
“ท่านอ๋องออกไปราชการกับขุนนางการค้าเจ้าค่ะ อีกสองสามวันถึงจะกลับ แต่บางทีก็ไม่ได้อยู่ในจวนนี้ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่เรือนน้ำตกมากกว่า”
“เรือนน้ำตก ฟังดูน่าสนใจจัง คงสวยมากสินะ”
“ว่ากันว่าสวยมากเจ้าค่ะ แต่คนนอกห้ามเข้า เพราะท่านอ๋องสร้างไว้อยู่กับพระชายา แต่เพราะเกิดเรื่องนั้น ที่นั่นจึงกลายเป็นสถานที่เก็บตัวไปอย่างเสียไม่ได้” เสี่ยวมี่ร่ายยาวถึงผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“โหว..มีผู้ชายที่รักขนาดนี้ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงทำลง ขนาดมีเงินมีอำนาจมากแท้ๆ ยังรั้งให้คนซื่อสัตย์ไม่ได้ นี่แหละนะมนุษย์ไม่เคยพอจริงๆ ทำไมเราถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้างนะ ชาตินี้จะเจอสักคนไหมซูเหยา”
คิดในใจอย่างเพ้อฝัน ก่อนจะจบลงด้วยเสียงท้องร้อง ทำให้สองสาวใช้ต่างก็หัวเราะเอ็นดูสตรีตัวน้อย พอดีกับที่อาหารยกเข้ามา ซูเหยาเลยรีบจัดการจนหมดเกลี้ยง เพราะอดอยากมานาน
หลังจากวันนั้นก็เรียนมารยาทในการพูดกับสาวใช้ทั้งสอง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก มีแต่ท่าทางอ่อนช้อยเท่านั้นที่ดูเป็นอุปสรรคใหญ่ เพราะซูเหยาไม่ใช่คนเรียบร้อย ออกแนวนิสัยห้าวเสียมากกว่าแม้จะเป็นหมอ
ยามซวี [19:00-20:59]
“โอ๊ย! ..อยากเจอตัวคนที่พาเรามาที่นี่จัง หรือว่าจะเป็นสามคนนั้น แต่พวกเขาอาศัยในกระท่อมเล็กๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วก็ยังทำเรื่องแบบนั้นกันอีก อึยย..คิดแล้วขนลุก” เอ่ยจบก็ยกมือขึ้นลูบแขน พร้อมกับสั่นไหล่ไปด้วยเพราะนึกถึงเสียงร้องขนก็ตั้งขึ้น แม้ตอนนั้นจะเหนื่อยจากการหนี แต่สติสัมปชัญญะของเธอก็อยู่ครบ
“คงไม่หรอกมั้ง พวกเขาอาจทิ้งเราไว้ที่นั่นแล้วท่านอ๋องอะไรนี่มาพบเข้า เลยพามาเป็นชายากำมะลอ นึกว่ามีแต่ในนิยาย ชีวิตจริงก็มีคนคิดแบบนี้ด้วยเหรอ เอาวะ..ก็ดีกว่าถูกไล่ฆ่าแหละนะ ว่าแต่เด็กคนนี้เป็นใครกันล่ะ”
สุดท้ายซูเหยาก็วนมาหาตัวตนเจ้าของร่าง เพราะกลัวว่าครอบครัวเด็กคนนี้จะตามหาหรือไม่ก็ตามฆ่า เมื่อนึกถึงตอนที่ถูกนำร่างมาฝัง หากเป็นคนอื่นจะทำแบบนั้นทำไม ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งสับสน
“พอๆ เลิกคิด ร่างนี้เป็นของเรา เด็กคนนี้ตายไปแล้ว เราเกิดใหม่ต่อไปก็เป็นชีวิตเราแล้วไม่เกี่ยวกับคนอื่น” คิดได้แบบนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง มองผ้าแพรสีขาวที่ผูกโยงลงมาจากด้านบน ยามที่ลมพัดมามันก็ปลิวไสวน่ามอง เธอเลยได้แต่นอนยิ้ม เพราะมันทำให้รู้สึกผ่อนคลายมาก จนไม่รู้ว่ามีใครเดินเข้ามาในห้อง พร้อมทั้งยกมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“อยู่จวนข้าคงมีความสุขมากสินะ”