บทที่ 3 เข้าแทนที่
ฮ่องเต้จีจิ่งเหวิน เป็นกษัตริย์องค์ที่สิบสองของราชวงศ์ต้าเหยียน หลังจากขึ้นครองราชย์ตอนอายุสิบห้าปี เนื่องจากอายุยังน้อย อำนาจส่วนใหญ่ในราชสำนักถูกกุมอยู่ในมือของไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่านและขุนนางใหญ่ผู้ร่วมก่อตั้งประเทศสามคน
ในสถานการณ์อย่างนี้ จีจิ่งเหวินเหมือนหุ่นเชิด แค่สัญลักษณ์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เท่านั้นเอง
บวกกับสูญเสียสมรรถภาพทางเพศไป ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวนบ้าคลั่งมากขึ้น มีนางกำนัลมากมายที่ตายภายใต้การทรมานของเขา
เซี่ยเฟิ่งชิงนั้น มีพ่อที่เคยเป็นแม่ทัพขั้นสามชั้นพิเศษ แต่เพราะได้ยินชื่อเสียงเสียหายของจีจิ่งเหวิน เลยพยายามปฏิเสธการสู่ขอครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายถูกปรักปรำโทษฐานลบหลู่ฮ่องเต้ โดนลดขั้นไปอยู่ชายแดน เซี่ยเฟิ่งชิงเลือกเข้าวังเพื่อความปลอดภัยของครอบครัว
ที่น่าประหลาดคือ ฮ่องเต้มิได้ทรมานนาง แต่กลับผ่อนปรนต่อนางอย่างมากเพราะใบหน้างดงามล่มชาติล่มเมืองของนาง ซ้ำยังแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา
ระหว่างที่มีฮองเฮานี้ จีจิ่งเหวินลุ่มหลงในเรื่องยา
แต่กินยาไปปีกว่าแล้วกลับไม่อาจทำให้นกเขากลับมาขันได้ ตรงกันข้ามร่างกายเขากลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ
แต่แล้ว เจ้าหมอนี่ยังรักหน้ายิ่งชีวิตอีก ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองนกเขาไม่ขัน หลังจากได้ยินคำนินทาต่างๆนานาของราชสำนักที่มีต่อเขา เลยพยายามหาตัวแทนมาจนได้ร่างเดิมของหลินจื่อโม่นี่ล่ะ
แต่แล้ว จีจิ่งเหวินตายแล้ว
โมโหจนตาย ตายอย่างอนาถมาก
“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ด้านนอกพลันมีเสียงร้องถามขึ้น หลินจื่อโม่ขมวดคิ้ว เซี่ยเฟิ่งชิงกลับเอ่ยขึ้นว่า “เสียงพี่ชายหม่อมฉันเองเพคะ”
ภายใต้คำอธิบายของนาง หลินจื่อโม่ถึงเข้าใจว่า เซี่ยหยุนพี่ชายของนางคนนี้เป็นรองผู้บังคับบัญชาขององครักษ์วังหลวง
นี่ก็เป็นการชดเชยต่อตระกูลเซี่ย หลังจากลดขั้นตำแหน่งของพ่อเซี่ยเฟิ่งชิง
คืนนี้เซี่ยหยุนรับผิดชอบตรวจเวรยามในวังหลวง เขาเดินลาดตระเวนมาถึงที่นี่และเห็นความผิดปกติ พอถามถึงได้รู้ว่า มีฮ่องเต้สองคนเข้าไปในตำหนักฮองเฮาติดต่อกัน
ถึงได้ร้องถามแบบนี้
“ที่แท้ก็ท่านพี่เมียนี่เอง”
หลินจื่อโม่แอบถอนหายใจโล่งอก มองดูเซี่ยเฟิ่งชิงที่มีสีหน้าลำบากใจด้วยท่าทางทะเล้น
บัดนี้ฮ่องเต้โดนพวกเขาทำให้โมโหจนตายแล้ว พวกเขาสองคนถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว
“มิมีอะไร ข้ากำลังหยอกล้อกับฮองเฮาน่ะ”
มีเสียงหลินจื่อโม่ดังออกมาจากในตำหนัก ไม่นานเขาก็จูงเซี่ยเฟิ่งชิงในชุดหงส์เดินออกมาจากในตำหนัก
“ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
“ขอฮองเฮาทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี!”
เซี่ยหยุนและเหล่าองครักษ์วังหลวงต่างพากันคุกเข่าลงถวายบังคมทั้งสอง
“ตามสบายเถิด”
หลินจื่อโม่จูงมือน้อยที่อ่อนปวกเปียกราวกับไร้กระดูกนั่นของเซี่ยเฟิ่งชิงเดินมายังหน้าประตู พลางพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงจริงๆนะฮองเฮา ตำหนักเจ้าจะมีทางลับเช่นนี้ด้วย น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ ฮะฮะฮะ...”
นี่ก็ถือเป็นการไขข้อสงสัยให้กับเหล่าองครักษ์วังหลวง และตอนนี้เขามีฮองเฮาเซี่ยเฟิ่งชิงอยู่ข้างกาย คนพวกนี้ย่อมไม่กล้าสงสัยฐานะของเขา
เพราะเรื่องเหลือเชื่ออย่างมีฮ่องเต้สองคนนั้น จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?
แต่จะจัดการศพฮ่องเต้อย่างไรยังคงเป็นปัญหา ถ้าถูกใครพบเห็นเข้า คงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่
บัดนี้เพราะฮ่องเต้ไร้ซึ่งทายาท คนในราชวงศ์ของเมืองหลวงล้วนจับจ้องตำแหน่งนี้กันตาเป็นมัน ในวังนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมีสายของพวกเขาอยู่ก็ได้
“เมื่อครู่มีขันทีน้อยผู้หนึ่งบุกเข้ามาทำลายความสุนทรีย์ของข้าในตำหนักบรรทม มันโดนข้าฆ่าตายแล้ว ท่านพี่เมีย เรื่องนี้รบกวนท่านจัดการหน่อยแล้วกัน”
บัดนี้ หลินจื่อโม่ไม่รู้เรื่องในวังนี้เลยสักนิด โชคดี มีท่านพี่เมียให้ใช้พร้อมสรรพ
เซี่ยหยุนเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ ต้องรู้ไว้นะ ฮ่องเต้คนนี้เมื่อก่อนเคืองโกรธการขัดขวางการสู่ขอของเขาอย่างมาก ไม่เคยไว้หน้าเขาเลย วันนี้กลับมาเรียกเขาว่าท่านพี่เมียอย่างสนิทสนมเสียอย่างนั้น
เขาเงยหน้าขึ้นน้อยๆ และเห็นเซี่ยเฟิ่งชิงพยักหน้าให้เขาเป็นสัญญาณ จึงพูดว่า “กระหม่อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!”
ต้องมาจัดการเก็บกวาดให้ฮ่องเต้ผู้นี้อีกแล้ว
สำหรับองครักษ์วังหลวง นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว เรื่องที่ต้องจัดการมากที่สุดคือศพนางกำนัล แน่นอน มีขันทีน้อยที่อายุอ่อนเยาว์เนื้อเนียนไม่น้อยเลย
หลังจากหลินจื่อโม่กับเซี่ยเฟิ่งชิงเดินออกไป เซี่ยหยุนถึงลุกขึ้น เขาก็พาองครักษ์หลวงสองคนเข้าไปในตำหนักบรรทม
ข้างประตูมีศพหนึ่งนอนอยู่ เขาอยู่ในชุดขันที ใบหน้าโดนฟันเละแล้ว เลือดสาดนองเต็มพื้น ทำเอาเซี่ยหยุนขมวดคิ้วทันที
ฮ่องเต้ผู้นี้บ้าคลั่งมากขึ้นทุกทีแล้ว!
ราชวงศ์ต้าเหยียนบัดนี้ ฮ่องเต้เป็นทรราช ขุนนางเรืองอำนาจ ราชสำนักเน่าเฟะ เสียงร้องทุกข์ของอาณาประชาราษฎร์ดังไม่หยุด หากเป็นแบบนี้ต่อไป ประเทศชาติต้องล่มจมแน่!
และตระกูลเซี่ยของตน ยังมีฮองเฮา คงได้แต่ล่มสลายไปพร้อมกับแผ่นดินตระกูลจีแล้วล่ะ
เซี่ยหยุนถอนหายใจยาวในใจ และไม่ได้คิดอันใดอีก เพียงลงมือจัดการเรื่องตรงหน้า
.....
ตำหนักเฉียนชิง
หลินจื่อโม่ไล่เหล่านางกำนัลขันทีที่พากันตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินข่าวฉาวสี่ถูกฆ่าออกไปจนหมด ในตำหนักบรรทม เหลือแค่เขากับเซี่ยเฟิ่งชิงที่หวาดหวั่น
ทั้งคืน เซี่ยเฟิ่งชิงทำการอธิบายเรื่องราวในวังให้เขาฟังพอประมาณ ทำให้เขาพอเข้าใจเรื่องราวอยู่บ้าง
ปาเข้าไปเที่ยง กว่าหลินจื่อโม่จะตื่นนอน เขามองดูเซี่ยเฟิ่งชิงที่หลับสนิทอยู่ข้างกาย ก่อนจะรู้สึกเหมือนฝันไป
เพราะเมื่อคืนเขายังแทบถวายชีวิตตนในการทำโอทีอยู่เลย เขาแก้พาวเวอร์พอยต์เจ็บสิบสี่แบบในเวลาสี่สิบเก้าชั่วโมง สุดท้ายหมดลมแล้วมาโผล่ที่นี่
ถึงตอนนี้จะยังมีภัยหลงเหลืออยู่บ้าง แต่เขากลายเป็นฮ่องเต้แล้วจริงๆ แถมข้างกายยังมีสาวงามล่มชาติล่มเมืองอย่างเซี่ยเฟิ่งชิงเป็นเพื่อนอีก
สาวงามชั้นยอดแบบนี้เป็นอะไรที่ชาติก่อนเขาไม่เคยได้สัมผัสเลย พวกดาราระดับท็อปอะไรพวกนั้น หรือสาวน้อยงดงามที่หลายพันปีกว่าจะได้พานพบอะไรนั่น พอมาเทียบกับเซี่ยเฟิ่งชิงแล้ว เทียบไม่ติดเลยสักนิด
จริงสิ ยังมีไท่เฟยคนนั้นเมื่อคืนอีก
นั่นก็งดงามอย่างมาก เรือนร่างอรชรเย้ายวนใจ เป็นนางปีศาจชัดๆ เพียงแค่คิดถึงรสชาติเมื่อคืน ก็ทำให้เขาแทบทนไม่ไหวแล้ว
“เป็นทรราชนี่ก็ดีแฮะ ปาเข้าไปเที่ยงแล้วยังไม่มีใครมารบกวนเลย”
หลินจื่อโม่ทอดถอนใจ เขารู้ประวัติศาสตร์ในชาติก่อน ฮ่องเต้พวกนั้นมีหลายคนที่ตายในระหว่างจัดการงานที่ไม่เสร็จ ตอนนั้นเขายังรู้สึกเลยว่า ถ้าตนได้เป็นฮ่องเต้ จะต้องเป็นทรราชให้ได้
นี่เขาก็เท่ากับได้สมความปรารถนาแล้ว
ทรราชไม่มีอะไรไม่ดี เพียงแต่ในความทรงจำของร่างเดิมนั้น เขาเลยรู้ว่ารัชกาลนี้ไม่มั่นคงเอามากๆ เขาอยากจะเป็นทรราชน่ะไม่ผิด เพียงแต่เขาไม่อยากเป็นกษัตริย์ของแคว้นที่สิ้นชาตินี่นา
ควรจะจัดการราชสำนักนี่สักทีแล้ว
หลินจื่อโม่จูบปากเซี่ยเฟิ่งชิง ทำอีกฝ่ายตกใจตื่น หลังจากโดนโลมเลียใบหูครู่หนึ่ง เขาขบเม้มปากนางอย่างแรงก่อนบอก “รอข้ากลับมา!”
พอออกจากตำหนักบรรทม เขาก็เห็นเซี่ยหยุนยืนรออยู่หน้าประตู
เซี่ยหยุนรูปร่างสูงใหญ่ ใส่ชุดเกราะห้อยกระบี่ไว้ที่เอว ท่าทีองอาจราวกับเทพเฝ้ายามร่างทองในวัด
ทำให้หลินจื่อโม่เกิดความคิดขึ้น
“ฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยหยุนรายงานเรื่องที่ทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ลำบากท่านพี่เมียแล้วนะ”
หลินจื่อโม่เดินเข้าไปตบไหล่เขาแผ่วเบาเป็นเชิงสนิทสนม ทำให้เซี่ยหยุนอดขัดเขินด้วยไม่คุ้นชินอย่างมากไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนทั้งสองต่างเกลียดกันและกัน “เจ้าอยู่ที่นี่พอดีเลย ไปเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”