บทที่ 8 การเดินทางเพื่อเริ่มต้นใหม่ 1/2
“ท่านอาน่าซือเซาปิ่งของท่านไส้ผักอร่อยที่สุดนะเจ้าคะ หว่านเออร์ชอบกินไส้ผักใส่เนื้อแค่เล็กน้อย หากไม่กินผักจะปวดท้องจนล้มป่วยท่านอาน่าซือสอนไว้เช่นนั้น” นี่เป็นความทรงจำในวัยเด็กของมู่หลินหว่านตัวจริง
“ฮึก ๆ หยะ หยะ หยุนเหลียงคุณหนูของบ่าวในที่สุดก็ได้พบกับท่านแล้ว ฮือ ๆ ๆ คุณหนูของน่าซือช่างงดงามเหมือนฮูหยินยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“บ่าวหยุนเหลียงคารวะคุณหนูขอรับ”
“จริงด้วยสิเจ้าคะบ่าวมัวแต่ดีใจ จนเสียมารยาทกับคุณหนูไปได้ บ่าวน่าซือคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง ๆ ๆ ท่านอาทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ยิ่งตอนนี้พวกท่านมิได้เป็นบ่าวไพร่ในจวนของผู้ใด แต่เป็นเจ้าของแผงขายเซาปิ่งจะคารวะผู้น้อยเช่นข้าคงไม่เหมาะสมนัก ว่าแต่พวกท่านตั้งร้านค้าเสร็จเรียบร้อยหรือยังเจ้าคะ”
“พวกเราสองคนเพิ่งจะเตรียมเปิดร้านเท่านั้นเจ้าค่ะ หยุนเหลียงข้าว่าวันนี้พวกเราหยุดขายสักหนึ่งวันเถิด จะได้ไปนั่งพูดคุยกับคุณหนูที่บ้านของพวกเรา ขืนอยู่ที่นี่นาน ๆ ชุดคุณหนูจะมีแต่กลิ่นควันไฟเอาได้เจ้าเห็นด้วยกับข้าไหม”
“อือ ข้าก็คิดเช่นเจ้าน่าซือยังดีที่ยกของลงไม่หมด ใช้เวลาเก็บของไม่นานต้องรบกวนคุณหนูรอประเดี๋ยวนะขอรับ”
“ท่านอาตามสบายเถิดเจ้าค่ะข้ามิได้เร่งรีบอันใด พวกท่านค่อย ๆ เก็บมันขึ้นเกวียนเถิดอย่าได้รีบร้อนเลยเจ้าค่ะ”
“รบกวนคุณหนูรอพวกเราประเดี๋ยวนะเจ้าคะ หยุนเหลียงรีบเก็บของขึ้นเกวียนเร็วเข้า”
“ข้าก็เร่งมืออยู่เจ้าไม่ต้องรีบถึงเพียงนั้นหรอกน่าซือ ของแค่ไม่กี่อย่างเองไม่นานก็เก็บเรียบร้อยแล้วล่ะ เจ้าพาคุณหนูไปรอข้าที่เกวียนเถิดของพวกนี้ข้าจะเข็นไปเอง”
“ได้ ๆ ๆ คุณหนูเจ้าคะไปรอหยุนเหลียงที่เกวียนกันเถิดเจ้าค่ะ แล้วนี่ไม่มีสาวใช้คอยติดตามท่านเลยหรือเจ้าคะ” น่าซือสงสัยที่คุณหนูของตนเดินมาเพียงลำพัง ไม่เห็นวี่แววของสาวใช้ส่วนตัวสักคน
“ไว้ถึงเรือนของท่านอาแล้วข้าจะเล่าให้ฟังนะเจ้าคะ”
“เอาตามที่คุณหนูว่ามาก็ได้เจ้าค่ะ”
น่าซือคอยประคองบุตรสาวของเจ้านายเกรงว่าโจวหลินหว่านจะล้มก็มิปาน เพราะรูปร่างที่ผอมบางประหนึ่งจะถูกลมพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ ทั้งสองคนรออยู่ที่เกวียนไม่นานหยุนเหลียงก็เข็นข้าวของกลับมา เมื่อยกทุกอย่างขึ้นเกวียนจนครบแล้วจึงได้กลับหมู่บ้านนอกเมืองทันที อดีตบ่าวของมารดาโจวหลินหว่านได้เช่าบ้านอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งแต่วันที่ถูกไล่ออกจากจวนตระกูลมู่ภายหลังเจ้านายของตนสิ้นใจได้ไม่นาน พวกเขาหวังเอาไว้ว่าจะได้เจอคุณหนูตัวน้อย ๆ อีกสักครั้ง ค่อยตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เมื่อมาถึงเรือนของน่าซือกับหยุนเหลียงแล้ว โจวหลินหว่านได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเอง ระหว่างที่เติบโตอยู่ในจวนแห่งนั้นว่าต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง พร้อมทั้งยื่นหนังสือตัดขาดจากเสนาบดีมู่ให้พวกเขาได้ดูเป็นหลักฐาน ว่านางถูกไล่ออกมาแล้วอดีตบ่าวทั้งสองพอได้ฟังถึงกับน้ำตาซึม รู้สึกโกรธแค้นคนในจวนแห่งนั้นทั้งหมดถึงกับสาปแช่งสารพัด และโจวหลินหว่านตัดสินใจถามทั้งคู่ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ หรือจะติดตามนางไปยังแคว้นหยางเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น
และเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าน่าซือกับหยุนเหลียงไม่คิดปฏิเสธ พวกเขายินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ติดตามนาง เช่นเดียวกับติดตามมารดาของนางต่อไป
“สารเสว!! เป็นพ่อคนที่จิตใจชั่วช้ายิ่งนักข้าไม่คิดเลยว่า คนเช่นเสนาบดีมู่จะกลายเป็นบุรุษพูดจาสัปปลับทำร้ายบุตรสาวแท้ ๆ ได้ถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็วางแผนชั่วกับฮูหยินมานานนี่เอง” หยุนเหลียงที่ฟังเรื่องราวจากปากของโจวหลินหว่าน พร้อมหลักฐานในมือก็ให้รู้สึกโกรธแค้นยิ่งนัก
“โธ่ ฮูหยินของบ่าวท่านไม่น่าตัดสินใจเลือกรักบุรุษเช่นนี้เลย สุดท้ายก็แสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นจนได้ บ่าวขออภัยที่ไม่ได้อยู่ดูแลปกป้องคุณหนูได้ หากไม่ถูกขับไล่ออกมาท่านคงไม่พบเจอเรื่องราวที่หนักหนาเช่นนี้ บ่าวผิดเองเจ้าค่ะที่ไม่ยอมคุกเข่าอ้อนวอนเสนาบดีมู่ คุณหนูได้โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ ฮือ ๆ ๆ” น่าซือยังคงคิดโทษตนเองที่ไม่ยอมร้องขอความเมตตากับเสนาบดีมู่
“ท่านอาทั้งสองเจ้าคะเรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าได้คิดถึงมันอีกเลย โชคดีที่ดวงจิตของข้าได้ท่านเทพคอยดูแลเอาไว้ ทั้งยังประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาความรู้อีกหลายแขนงให้ติดตัว ต่อไปภายภาคหน้าจะได้ใช้เพื่อทำมาหากินสร้างตัวได้ และตอนนี้ตัวข้าเป็นอิสระไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่อีก แต่ความแค้นของท่านแม่จะต้องได้รับการแก้แค้นอย่างสาสม ขอเพียงในอนาคตพวกเรามีผู้หนุนหลังที่ตำแหน่งใหญ่โตกว่า จะบดขยี้ตระกูลนี้ให้แหลกอย่างไรก็ได้เจ้าค่ะ ท่านอาทั้งสองพวกท่านยินดีติดตามข้าไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แคว้นหยางหรือไม่เจ้าคะ”
“ยินดีสิขอรับคุณหนูถึงท่านจะไม่ถามเรื่องนี้ แต่พวกข้าสองคนก็ยังยินดีติดตามท่านไปอย่างแน่นอนขอรับ”
“ใช่เจ้าค่ะพวกเราจะปล่อยให้คุณหนูเดินทางเพียงลำพังได้อย่างไร เส้นทางไปแคว้นหยางไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ใช่ว่าจะไม่มีอันตรายนะเจ้าคะ ยิ่งคุณหนูของน่าซืองดงามเช่นนี้ยิ่งอันตรายหลายเท่าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหากพวกเราออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ แต่ข้าอยากให้ท่านอาหยุนเหลียงเปลี่ยนจากเกวียนวัวเป็นรถม้า การเดินทางจะได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกสักหน่อยเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องราคาของการจ้างรถม้าข้าพอรู้ว่ามันแพงกว่าเกวียนวัวมาก นี่คือเงินสิบตำลึงรบกวนท่านอาหยุนเหลียงช่วยจัดการ ขอด้านในรถม้าบุผ้ารองนั่งที่หนาสักหน่อยก็ดี จะได้นั่งกันได้สบายไม่ปวดเมื่อยระหว่างทางนะเจ้าคะ” โจวหลินหว่านยืนถุงใส่ตำลึงเงินให้กับหยุนเหลียงไป
“ขอรับคุณหนูท่านรออยู่ที่นี่กับน่าซือไปก่อน บ่าวจะไปจัดการเรื่องรถม้าให้เองขอรับ”
“รบกวนท่านอาหยุนเหลียงแล้วเจ้าค่ะ”
หยุนเหลียงถือถุงเงินกระโดดขึ้นเกวียนวัวไปอย่างรวดเร็ว เพื่อนำเกวียนวัวไปเปลี่ยนเป็นรถม้าอย่างดี คุณหนูของเขาจะได้นั่งหรือนอนได้อย่างสบาย ตลอดระยะเวลานับเดือนต่อจากนี้เป็นต้นไป ส่วนน่าซือมิได้นั่งรออยู่เฉย ๆ นางรีบเข้าไปเก็บของที่จำเป็น ซึ่งมีอยู่ไม่กี่อย่างใส่ห่อผ้าเอาไว้และไม่ลืมเรื่องเสบียงอาหาร ที่ทั้งสามคนต้องมีติดตัวไว้ทานระหว่างเดินทางอีก ข้าวสารอาหารแห้งที่ยังมีเหลืออยู่น่าซือเก็บมาจนหมด ไม่มีหลงเหลือให้เจ้าของบ้านเช่าได้มาเก็บไปใช้ประโยชน์แทนตนเองหรอก โจวหลินหว่านกับน่าซือรออยู่สองเค่อโดยประมาณ หยุนเหลียงก็นำบังคับรถม้าคันใหญ่มาแทนเกวียน ยามนี้ข้าวของยกย้ายขึ้นรถม้าทั้งหมดแล้วจึงได้เวลาออกเดินทางอย่างจริงจังเสียที และนี่ยังเป็นครั้งแรกของโจวหลินหว่านที่จะเดินทางไปต่างแคว้น
ด้านจวนตระกูลมู่กว่าจะรู้ว่าในห้องเก็บสมบัติไม่เหลือสิ่งใดให้หยิบใช้ ก็ต่อเมื่อใกล้จะถึงวันจัดงานเลี้ยงน้ำชาที่ต้องใช้เงินจำนวนมากและเครื่องประดับบางส่วน ถึงได้พบว่าสมบัติที่สะสมไว้มากมายยามนี้เหลือเพียงห้องว่างเปล่า แม้แต่เศษเงินเหรียญอีแปะยังไม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าสักเหรียญ ไม่ว่าเสนาบดีมู่จะสอบสวนบ่าวไพร่และคนในจวนทั้งหมดอย่างไร ก็ไม่อาจทราบสาเหตุที่แท้จริงได้ว่าหีบสมบัติมากมายที่มีจะอันตรธานหายไปได้อย่างไร้ร่อยรอย
“ฮึบ โอ้ว นี่สวรรค์ประทานพรถึงกับส่งบุรุษหน้าตาหล่อเหลา เพื่อมอบให้เป็นการตอบแทนที่ข้าทำความดีใช่หรือไม่นะ”