บทที่ 7 การเดินทางเพื่อเริ่มต้นใหม่ 1/1
หลังจากได้รับอิสระพร้อมหนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือของตนแล้ว มู่หลินหว่านเดินออกจากจวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ชุดที่สวมใส่จะเก่าจนมองไม่ออกว่ามันคือสีอะไร และแทบทั้งตัวยังมีร่อยรอยของการปะชุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่สามารถทำให้รอยยิ้มนั้นจางหายไปได้ ยิ่งเดินมาได้ครึ่งทางมู่หลินหว่านได้ยินเสี่ยวลวี่พูดขึ้น เกี่ยวกับเงินในห้องเก็บสมบัติที่เพิ่งจะเก็บกวาดมาได้
“นายหญิงเจ้าคะสิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือไปร้านขายเสื้อผ้าเจ้าค่ะ เพราะชุดที่ท่านใส่ในตอนนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง”
“หือ เสี่ยวลวี่หรอกหรือเจ้าหายไปไหนมาเห็นเงียบไปเสียนาน ข้าลองเรียกดูก็ไม่มีการตอบกลับจากเจ้าเลย”
“เสี่ยวลวี่ไปจัดการเรื่องห้องเก็บสมบัติให้ท่านอย่างไรเล่า ยามนี้ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ”
“งั้นแสดงว่าตอนนี้หากข้าต้องการซื้อสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีเงินใช้จ่ายได้ไม่ว่าจะถูกหรือแพงใช่ไหมเสี่ยวลวี่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิงท่านเลือกเสือผ้าชุดสวย ๆ มาหลาย ๆ ชุดเลยนะเจ้าคะ จากนั้นไปหาที่หารถม้าสำหรับเดินทางไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ ว่าแต่นายหญิงจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
“อืม ข้าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเว่ยแห่งนี้แล้วล่ะเสี่ยวลวี่ สถานที่ที่คิดว่าเหมาะสมและน่าจะดีกว่าหลายเท่า ข้าคิดว่าจะไปแคว้นหยางน่ะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เข้าไปทำความสะอาด ด้านในห้องทำงานของเสนาบดีมู่มีข้อมูลการค้าของแคว้นหยาง เราไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันที่นั่นเถิดส่วนคนชั่วพวกนี้ รอสักวันหนึ่งที่ข้ามีผู้หนุนหลังตำแหน่งใหญ่โต ค่อยจัดการแก้แค้นให้กับท่านแม่ก็ยังไม่สายเกินไป แต่ตอนที่ข้ายังเด็กเคยมีสาวใช้กับบ่าวของท่านแม่ ที่ติดตามมาจากบ้านเดิมคอยดูแลข้างกายทุกวัน ต่อมาเมื่อท่านแม่ไม่อยู่แล้วพวกเขาก็ถูกไล่ออกไปเช่นกัน ตัวข้าจำได้เพียงว่าชื่ออะไรส่วนใบหน้านั้นเลือนรางเต็มที เสี่ยวลวี่เจ้าพอจะมีวิธีไหนตามหาพวกเขาได้บ้างไหม ทั้งสองคนชื่อว่าน่าซือกับหยุนเหลียงหากพวกเขายังอยู่ในเขตเมืองหลวง ข้าต้องการตามหาพวกเขาให้พบเสียก่อน จะได้เดินทางไปแคว้นหยางด้วยกัน”
“แน่นอนว่าเสี่ยวลวี่ย่อมมีวิธีสืบหาพวกเขาให้นายหญิง ตอนนี้ท่านสบายใจได้แล้วนะเจ้าคะไปซื้อสิ่งของที่จำเป็นกันเถิดเจ้าค่ะ”
“อื้อ ขอบใจนะเสี่ยวลวี่”
“ยินดีรับใช้นายหญิงเจ้าค่ะ”
มู่หลินหว่านเดินตามหาร้านค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จ จนผู้คนในเมืองหลวงที่เดินสวนทางกับนางต่างมองด้วยความสงสาร แต่มู่หลินหว่านมิได้สนใจผู้อื่นว่าจะคิดอย่างไร นางยังคงตามหาร้านค้าต่อไปจนพบกับร้านผ้าขนาดกลาง ๆ ที่มีลูกค้าอยู่ไม่มากนัก และรอจนกว่าลูกค้าจะออกจากร้านจนหมดแล้ว ค่อยเข้าไปด้านในร้านเพื่อสอบถามถึงชุดตัดสำเร็จรวมถึงราคาขายแต่ละชุด มู่หลินหว่านเลือกชุดสำเร็จสีอ่อน ๆ มาสองสามชุด และขอใช้ห้องของทางร้านเพื่อเปลี่ยนไปสวมชุดใหม่ทันที เจ้าของร้านที่เห็นยังเอ่ยปากชมว่านางงดงามน่ารักสมวัย ก่อนจะออกจากร้านเถ้าแก่ยังมอบผ้าคลุมหน้าให้อีกหนึ่งผืน มู่หลินหว่านเข้าใจความหมายของมันได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ปล่อยให้มู่หลินหว่านเลือกซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ เสี่ยวลวี่ได้หายตัวไปพบปะกับเหล่าต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลาย ที่ขึ้นอยู่ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวง โดยขอความช่วยเหลือให้ตามหาคนชื่อน่าซือและหยุนเหลียง เหล่าสหายต้นไม้ก็ยินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ่งเสี่ยวลวี่จะมาพบหลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม สหายต้นไม้ทั้งหลายจึงรีบส่งข่าวไปยังมุมต่าง ๆ เผื่อจะได้ข้อมูลก่อนจะครบเวลาตามที่เสี่ยวลวี่บอกไว้
ส่วนมู่หลินหว่านนั่งรอเสี่ยวลวี่อยู่ในร้านน้ำชาร้านหนึ่ง และได้หยิบหนังสือตัดขาดฉบับนั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้ง เมื่อเห็นประโยคหนึ่งที่ห้ามมิให้นางใช้แซ่มู่อีกหลังจากออกจากตระกูล ฉะนั้นนางแค่กลับไปใช้แซ่ของมารดาก็ไม่เป็นปัญหาอันใด นับจากวันนี้เป็นต้นไปชื่อแซ่ของนางก็คือ ‘โจวหลินหว่าน’
“เฮ้อ ในที่สุดข้าก็พาเจ้าหลุดพ้นจากตระกูลน่ารังเกียจนั่นมาได้เสียที มู่หลินหว่านขอให้เจ้ากับมารดาได้เกิดเป็นแม่ลูกกันอีกครั้ง และมีชีวิตที่ยืนยาวมากว่าในชาตินี้เถิดนะ เอ๊ะ! จะว่าไปแล้วเสี่ยวลวี่หายไปไหนนะตั้งแต่ออกจากจวน ก็หายเงียบไปเลยทุกทีต้องชวนข้าคุยแท้ ๆ”
“แว๊บ! กรี๊ดด อุ๊บ!”
“นายหญิงเจ้าคะข้าพอจะได้ข่าวคนของมารดาท่านแล้วเจ้าค่ะ”
“เสี่ยวลวี่!! โธ่เอ้ยข้าขอร้องละนะถ้าจะปรากฏตัวช่วยส่งเสียงบอกล่วงหน้าได้ไหม เจ้าเล่นปุ๊บปั้บโผล่ออกมาเช่นนี้ข้าเป็นต้องตกใจทุกทีสิน่า ค่อย ๆ ทำให้ชินไปที่ละนิดได้หรือไม่เสี่ยวลวี่คนงาม”
“แฮะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะเสี่ยวลวี่ลืมตัวไปหน่อยว่าท่านยังไม่ชิน คราวหน้าจะไม่ลืมอีกแล้วเจ้าค่ะนายหญิง ข้าดีใจที่มีข่าวคนของมารดาท่านจากเหล่าสหายต้นไม้ จึงรีบกลับมาเพื่อบอกกับท่านเจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดจริงหรือเสี่ยวลวี่ที่ว่าได้ข่าวคนของท่านแม่น่ะ แล้วสหายของเจ้าพวกเขาบอกว่าอย่างไรบ้าง ยามนี้ทั้งสองคนพักอยู่ที่ใดยังสบายดีอยู่หรือไม่” โจวหลินหว่านถามเสี่ยวลวี่ด้วยความตื่นเต้น
“ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะนายหญิงไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้ สหายของข้าบอกว่าทั้งสองคนยังคงอยู่ที่เมืองหลวง โดยยึดอาชีพขายเซาปิ่งที่ตลาดเช้าทุกวันไม่ยอมกลับบ้านเกิด คงหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบเจอท่านที่เติบโตเป็นสตรีงดงาม ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินกันไปมาบนถนนในเมืองหลวงสักครั้งก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
“พวกเขาช่างซื่อสัตย์กับท่านแม่ของข้ายิ่งนักเสี่ยวลวี่ ทั้งที่สามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้แท้ ๆ แต่กลับยังคงรอคอยเพื่อจะได้พบเจอกับข้า ที่ถูกกักขังใช้งานเยี่ยงทาสอยู่ภายในจวนนั่นสิบกว่าปี ใครจะรู้ว่ายามนี้ข้าผ่านพ้นวัยปักปิ่นมาแล้วถึงหนึ่งปี ในวงสังคมชนชั้นสูงไม่เคยมีใครเคยเห็นใบหน้าของคุณหนูรองผู้นี้ แม้แต่คู่หมั้นในวัยเด็กยังถูกพี่สาวต่างมารดาแย่งชิงไปเป็นของตนเอง ไม่เป็นไรยามนี้ข้าคือโจวหลินหว่านที่จะกลับมาแก้แค้นตระกูลมู่อย่างแน่นอน หากทั้งสองคนนั่นต้องไปขายของที่ตลาดในตอนเช้า เช่นนั้นพวกเราไปดูที่ตลาดกันเถิดเสี่ยวลวี่”
“เจ้าค่ะนายหญิง”
ณ ตอนนี้โจวหลินหว่านรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยในการเดินทางไปต่างแคว้นในครั้งนี้นางก็ไม่ได้ตัวคนเดียว เมื่อเริ่มกิจการอย่างไรเสียก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือ หากมีคนของมารดาติดตามไปย่อมเป็นเรื่องดีมากกว่าหลายเท่า โจวหลินหว่านเดินไปตามทางที่เสี่ยวลวี่คอยบอก ซึ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นเสี่ยวลวี่ได้ นอกจากโจวหลินหว่านเจ้านายผู้นี้เท่านั้น
พอเดินมาถึงตลาดก็สอดส่ายสายตามองหาคนขายเซาปิ่งทันที และสายตาของโจวหลินหว่านก็มองหาจนเจอ นางรีบเดินไปยังหน้าร้านของคนทั้งสองโดยไม่ส่งเสียงใด ๆ น่าซือคิดว่ามีลูกค้ามาซื้อเซาปิ่งของตนจึงพูดเหมือนกับทุก ๆ วัน โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อลูกค้ายังคงเงียบไม่ยอมสั่งเซาปิ่งเสียที น่าซือจำเป็นต้องหยุดมือที่นวดแป้งและเงยหน้า เพื่อสอบถามคนเป็นลูกค้าอีกครั้งแต่ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ด้วยหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามที่ยืนอยู่ตรงหน้า ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้านายของนางยิ่งนัก หยุนเหลียงที่รู้สึกว่าน่าซือเงียบเกินไปก็หันมามอง และเกิดอาการเช่นเดียวกับน่าซือไปอีกคน
“ลูกค้ารอสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะเตายังไม่ร้อน หากท่านไม่รีบสามารถไปเดินเลือกซื้อเสียก่อนแล้วค่อยกลับมารับก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะห่อแยกเก็บไว้ให้ท่านเป็นอย่างดี”
“ไส้ผักคงขายดีไม่น้อยเลยนะเจ้าคะแม่ค้า”
“ขวับ!...........!!”
“ฮูหยิน!/ฮูหยิน!” น่าซือและหยุนเหลียงเรียกหญิงสาวตรงหน้าว่าฮูหยิน ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เนื่องจากเจ้านายของพวกเขาตายไปแล้ว
“ท่านอาทั้งสองฮูหยินที่พวกท่านพูดถึงใช่โจวเชี่ยนเหยาหรือไม่เจ้าคะ?”
“ชะ ชะ ใช่แล้วเจ้าค่ะฮูหยินของพวกข้าแซ่โจวมีนามว่าเชี่ยนเหยา ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณหนูท่านนี้ถึงได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับฮูหยินนักเล่า” น่าซือเกิดความสงสัยมากมายจึงอยากถามให้แน่ใจ