2. อำมหิต
คนสนิทรับคำของผู้เป็นนายแล้วก็หมุนตัวหมายจะเดินตรงไปยังเรือนพำนับของพระชายา ทว่าสองขากลับหยุดลงที่หน้าประตู เพราะนึกขึ้นได้ว่ายามนี้นางถูกขังอยู่ที่เรือนหลังหาใช่เรือนพำนับตามฐานะของนางไม่
คิ้วหนาของคนในห้องผูกกันเป็นปม มององครักษ์หนุ่มที่ยืนนิ่งมิทำตามที่ผู้เป็นนายรับสั่ง จางเฟยหันกลับมาก่อนจะมีใบหน้าซีดเผือดแล้วเอ่ยเสียงสั่น
“ทะ…ท่านอ๋องพระองค์รับสั่งขังนางไว้ที่เรือนหลังมิใช่หรือขอรับ นี่ก็ผ่านมาแปดวันแล้ว มิใช่ว่า”
ถ้อยคำของคนสนิททำให้จินอ๋องได้ฉุกคิด ร่างสูงลุกพรวดขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปยังเรือนหลัง และหวังว่านางจะยังคงมีชีวิตอยู่จากการช่วยเหลือของบ่าวไพร่ที่แอบส่งอาหารให้ ทว่าใครกันล่ะจะกล้าในเมื่อเขาเป็นคนสั่งไว้เองว่าห้ามใครยุ่งเกี่ยวและส่งข้าวส่งน้ำให้นาง
ทั้งสี่หยุดลงที่หน้าประตูเรือนเล็กซึ่งมีต้นไผ่ปลูกล้อมรอบเรือนเป็นกำแพง หากจะว่าไปมันก็เป็นเรือนของบ่าวไพร่นั่นแหละ ทว่าอยู่ห่างออกมาไกลจนมิมีใครใส่ใจ และมิมีผู้ใดรู้ว่ามีคนถูกขังไว้ด้วย
“ท่านอ๋องขังนางไว้ที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงเอ่ยถามสหาย ก่อนจะทำหน้าแหยเมื่อสัมผัสได้ถึงความวังเวง
สายลมพัดพากลิ่นบางอย่างโชยมาจนน่าตกใจ คนสนิทจึงรีบไขกุญแจเปิดออกทันที ภาพตรงหน้าทำเอาร่างสูงที่หมายจะก้าวเดินเข้าไปหยุดชะงัก เมื่อเห็นร่างของสตรีตัวน้อยซึ่งนางเคยมีใบหน้างดงาม ทว่ายามนี้เหลือเพียงหนังแห้งติดกระดุก และยังมีหนูมากมายรุมแทะร่างอีก
ไห่เฉิงถึงกับอาเจียนออกมาในทันทีที่ประตูเปิดออก และมิอาจจะเข้าไปภายในห้องได้ ด้านจินอ๋องนั้นยกมือขึ้นปิดจมูกเพราะกลิ่นด้านในรุนแรงมาก
“จงเหริน จางเฟย จัดการทุกอย่างให้ดีทำตามประเพณีอย่างสมเกียรติ” เอ่ยสั่งเพียงเท่านั้นเขาก็เดินจากไป
ทิ้งให้คนสนิททั้งสองจัดการกับศพของพระชายาผู้อาภัพ เพื่อมิให้ผู้คนล่วงรู้ว่าเขาได้ทำเรื่องอำมหิตโหดเหี้ยมกักขังสตรีไร้ทางสู้ให้ตายอย่างน่าเวทนา ไห่เฉิงรีบวิ่งตามออกไปเพราะมิอาจทนอยู่ต่อได้
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม [=2 ชั่วโมง] งานมงคลก็แปรเปลี่ยนเป็นงามศพ จากสีแดงกลายเป็นสีดำในชั่วพริบตา ตามมาด้วยข่าวลือเกี่ยวกับดวงพิฆาตของจินอ๋อง เพราะสตรีที่ข้องเกี่ยวกับเขาล้วนแต่สิ้นใจไปตามๆ กัน
มิเว้นแม้แต่พระชายาซูเฟย ซึ่งคราแรกคิดว่านางจะเป็นคนเดียวที่รอดพ้น ทว่าสุดท้ายกลับสิ้นใจลง มิต่างจากสตรีนางอื่น เพียงแต่มิมีใครรู้ว่าซูเฟยตายเพราะคำสั่งของจินอ๋องก็เท่านั้น
“ท่านอ๋องมิพูดมิจาเลย ข้ามิรู้ต้องทำเช่นใดแล้ว” ไห่เฉิงเอ่ยกับสองสหายที่ยืนเฝ้าหน้าห้องทรงงาน ซึ่งจินอ๋องยังคงนั่งอ่านตำราโดยมิยอมแตะอาหารเลย
“คงมิคิดว่ารับสั่งของพระองค์จะเป็นเหตุให้พระชายาตายกระมัง” จางเฟยเอ่ยในสิ่งที่ตนคิดก่อนสหายจะแย้ง
“มิใช่หรอก ท่านอ๋องหรือจะคิดเรื่องนั้น ทรงเกลียดพระชายาเข้าไส้ นางตายไปได้มีแต่พระองค์จะโล่งใจเสียมากกว่า” จงเหรินเถียงคำของสหาย
“พวกเจ้าอย่ามัวแต่เถียงกัน แขกเหรื่อทะยอยกันมาแล้ว รีบออกไปต้อนรับก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะพาท่านอ๋องไปเอง” ไห่เฉิงเอ่ยกับคนสนิททั้งสอง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเพื่อเกลี้ยกล่อมสหายให้ออกไปพบผู้คน ซึ่งจินอ๋องก็ยินดีออกไปทำตามหน้าที่ของสามีเพื่อมิให้ผู้คนครหาตน
งานเซ่นไหว้ศพของพระชายามีอยู่ห้าวัน ก่อนจะนำไปฝังที่สุสานของบรรพชนสกุลจินของจินอ๋อง ราวกับว่านางได้รับเกียรติเช่นนั้นจริง
ทว่ามันก็แค่ฉากบังหน้าที่เขาสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนเห็นเท่านั้น ความเป็นจริงซูเฟยมิได้รับเกียรตินั้นเลย ร่างของนางถูกฝังในสุสานของบ่าวไพร่ ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันโดยมิมีใครล่วงรู้
“คนของเราจัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จางเฟยเอ่ยรายงานผู้เป็นนายซึ่งนั่งจิบชาอยู่
“ดีมาก สตรีชั่วช้าเช่นนั้นมิคู่ควรได้อยู่ในสุสานของบรรพบุรุษข้า” น้ำเสียงเขายังคงเย็นชาเช่นเดิม เมื่อเอ่ยถึงสตรีใจเหี้ยมผู้นั้น แม้มิได้ตั้งใจจะขังลืม เขาหมายจะกลับมาสอบสวนในช่วงค่ำ ทว่าพอไปถึงจวนสกุลจ้าวความวุ่นวายก็เกิดขึ้น จนทำให้ลืมไปเสียสนิทว่าทำโทษพระชายาของตน กว่าจะนึกได้นางก็ตายไปหลายวันแล้ว
ทว่าสำหรับจินอ๋องแล้ว นี่อาจเป็นเวรกรรมของซูเฟยที่ทำกับคนอื่นก็เป็นได้ เฟิงหรานยังเชื่อว่านางเป็นคนสั่งให้ลงมือกับสตรีที่จะแต่งเข้ามาเป็นชายารองเขา เพราะการตายของแต่ละคนล้วนแต่ตายด้วยโรคประหลาด มิต่างจากว่านชิงเลย ในใจของจินอ๋องจึงเกลียดชังนางมาก
ผ่านมาอีกหนึ่งปี ราชสำนักก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมื่อฮ่องเต้ล้มป่วยจนสิ้นพระชนม์ ทำให้รัชทายาทต้องขึ้นครองราชย์แทนด้วยวัยสิบแปดปี จินอ๋องจึงต้องคอยช่วยเป็นกำลังสนับสนุนให้พระนัดดาของตน เพราะต่างแคว้นหมายจะใช้โอกาสนี้ทำศึกกับแคว้นเหลียว
จินอ๋องจึงอาสาเป็นแม่ทัพนำศึกเอง เพราะเขามิมีสิ่งใดให้ต้องห่วงนัก รวมถึงอยากหลีกหนีงานแต่งที่ไทเฮาจ้องจะจับคู่ให้เขาอีก โดยอ้างว่าจวนอ๋องต้องมีคนดูแล จากนั้นเขาก็มิได้กลับเมืองหลวงเลย
ห้าปีต่อมา
ฮ่องเต้ จินฟานเสียน ยืนชะเง้อคอยาวบนกำแพงวัง เพื่อรอรับเสด็จอาของตนที่กลับจากชายแดน หลังจากได้รับสาส์นยอมจำนนจากแคว้นหนาน เขาก็สั่งให้ม้าเร็วส่งข่าวให้ผู้เป็นอากลับเมืองหลวงทันที
ยามซื่อ [09:00-10:59] บนถนนในเมืองหลวง ยามนี้มีชาวเมืองมากมายมายืนต้อนรับแม่ทัพใหญ่ของแคว้น หลังจากรบชนะทางทิศใต้เมื่อเดือนก่อน
เสียงสรรเสริญดังไปทั่วท้องถนน ทำให้ใครบางคนที่ยืนดูบนหอน้ำชาถึงกับขบกรามแน่น มิใช่ใครที่ไหนเขาคือ เติ้งอ๋อง หรือ จินเติ้ง พระเชษฐาของเฟิงหราน ซึ่งเป็นปรปักษ์กันมาแต่ไหนแต่ไร
“เหตุใดมันถึงยังอยู่ดีเช่นนี้ กั่วหลิงคนของเจ้าช่างไร้ความสามารถเหลือเกิน” ตำหนิคนสนิทก่อนจะยกจอกสุราดื่มอย่างหัวเสีย ทำเอาองครักษ์หนุ่มถึงกับหน้าเจื่อน
“ท่านอ๋องอย่าทรงกริ้ว เป็นเพราะจินอ๋องเปลี่ยนเส้นทางกลับเมืองหลวง จึงทำให้คลาดกันมิอาจลอบปลงพระชนม์ได้พ่ะย่ะค่ะ” คนกลัวถูกทำโทษรีบคุกเข่าลงรายงาน เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นนายจะสั่งลงโทษ
“ไม่ได้เรื่อง” เอ่ยจบก็ยกจอกสุรากระดกเป็นรอบที่สอง นัยน์ตาเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่ร่างสูงสง่าบนหลังม้า ซึ่งอยู่ในชุดนักรบน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก บวกกับเสียงชื่นชมที่ดังมิขาดสายของชาวเมือง ยิ่งทำให้จินฟางโมโหโกรธามากกว่าเดิม ทว่าเขาก็มิอาจทำอันใดได้เพราะอยู่กลางเมือง มีผู้คนมากมายหากลงมือคงมิดีนัก
#คำเตือน เนื้อหาบางตอนอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจ ไม่ชอบแค่เลือนผ่านนะคะ