11.เกิดเรื่องจนได้
ท่ามกลางความคึกคักของผู้คนในงานเทศกาล ต่างคนต่างเดินไม่สนใจใคร ทว่ากลุ่มของจินอ๋องยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวของคุณหนูหลี่อยู่ไม่ห่าง อีกด้านก็เป็นกลุ่มของหรูซินกับคู่หมั้นและคุณหนูจ้าว เพราะมีคลองน้ำใสขวางกั้นเอาไว้ ทว่าสายตาจินอ๋องมันก็สนใจเพียงร่างเล็กที่เอาแต่ยิ้มหวานกับคู่หมั้นจนเขารู้สึกหงุดหงิด
ซึ่งเวลาต่อมาก็มีเสียงร้องดัง ดึงความสนใจของเขาให้หันมาที่กลุ่มคนที่วิ่งแตกตื่น เนื่องจากไม้ไผ่ซึ่งมีไว้ผูกโคมกำลังพังลงมาทั้งแผง และผู้ที่อยู่ด้านล่างคือกลุ่มของหลี่เหม่ยและมู่หลิง ซึ่งตกใจจนก้าวขาไม่ออก
ได้แต่ยืนนิ่งมองไม้ไผ่พังลงมา หรูซินหมายจะเข้าไปช่วยพี่สาว ทว่ามันก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะตนนั้นอยู่อีกฝั่งและทุกอย่างพังครืนลงมาอย่างรวดเร็ว จนทุกคนได้แต่กรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
ฝุ่นบนพื้นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณเพราะแรงกระแทกลงมา เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น นั้นยังไม่เท่ากับไฟในโคมเกิดไหม้ไม้ไผ่ไปด้วย ทำให้ยามนี้มีควันลอยคลุ้งเต็มไปทั่วถนนจนมองสิ่งใดไม่ชัด
“ดับไฟเร็วเข้า” จินอ๋องตะโกนบอกชาวเมืองที่ยืนรายล้อมมุงดู บางคนจึงรีบลงไปยืนข้างคลองเพื่อตักน้ำส่งต่อกันมาเพื่อดับไฟ ผู้ที่ถูกไม้ไผ่ทับก็เอาแต่ร้องให้ช่วย
หรูซินไม่รอช้ารีบกระโดดลงน้ำ เพื่อไปอีกฝั่งทันที ยามนี้คนมุงดูเหตุุการณ์เต็มสะพานจึงไม่มีทางให้เดิน ฟูชิงเห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้ารีบตามไปเช่นกัน เสิ่นหยางจึงตรงไปยังสะพานฝ่าฝูงชนไปแทนเพราะไม่กล้าลงน้ำ
ด้านหรูซินเมื่อขึ้นจากน้ำได้ ก็ไต่ไปตามไม้ไผ่ซึ่งยังไม่ไหม้ ซึ่งมันอยู่คนละฝั่งกับจินอ๋องยืน จึงเป็นเหตุให้เขาเข้ามาช่วยไม่ได้
“บาดเจ็บหรือไม่พี่มู่หลิง” ถามทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งตัวสั่นเทา ข้างกันนั้นก็เป็นคุณหนูหลี่ นางก็มีอาการไม่ต่างกัน ยังดีที่ตอนไม้ไผ่พังลงทั้งสองอยู่ตรงช่องพอดี
“ข้ากลัว ข้ากลัวหรูซิน” ร้องบอกเสียงตื่น พร้อมกับโผเข้ากอดน้องสาวเอาไว้ ซึ่งยามนี้รอบตัวก็มีแต่ควันไฟ
“พี่จะแบกนางออกไปเอง คุณหนูก็รีบตามมานะเจ้าคะ” ฟูชิงเอ่ยก่อนจะให้มู่หลิงขึ้นหลังแล้วพาออกไปทันที
“คุณหนูข้าจะพาออกไปนะเจ้าคะ” หรูซินหันมาเอ่ยกับสตรีอีกคน ชาวเมืองที่เข้ามาช่วยอีกแรงจึงช่วยกันหิ้วปีกนางออกมา ฟูชิงกลับเข้ามาช่วยอีกเมื่อส่งมู่หลิงออกไปแล้ว เปลวไฟทำท่าจะมอดลง ทว่ามันก็ปะทุขึ้นมาอีกเพราะในโคมไฟบางอันมีน้ำมันเป็นชนวนอย่างดี
ทว่ากลุ่มของหรูซินพาคนเจ็บออกมาหมดแล้ว เหลือก็แค่คนที่ตายเพราะถูกกระแทกจากไม่ไผ่สดเข้าเต็มๆ และยังมีควันไฟที่ทำให้สำลักตายได้อีก จึงช่วยให้รอดได้ไม่ถึงสิบคน ผู้ที่เข้าไปช่วยก็อาการแย่แล้วเช่นกัน
“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่” คนที่กระโดดน้ำเพื่อลัดเลาะมาอีกฝั่งรีบตรงเข้ามาถามสตรีที่เขาห่วงทันที หรูซินเงยหน้ามองเขานิ่ง คนที่เขาควรถามน่าจะเป็นพี่สาวตนมากกว่า
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ มีคู่หมั้นดูแลอยู่ ท่านอ๋องไปดูแลว่าที่พระชายาเถอะ” เอ่ยกับเขาพร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายออก ดีที่ยามนี้มู่หลิงหมดสติไปแล้ว เสิ่นหยางก็มัวแต่ช่วยรักษาคนเจ็บเพราะเขาเป็นหมอ จึงไม่มีใครทันสังเกตว่าจินอ๋องนั้นตรงมาหาตน
“เจ้าไม่เป็นอันใดก็ดี” เอ่ยจบเขาก็ถอยห่างออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปดูว่าที่พระชายาของตน เพราะเขาปล่อยให้คนสนิทจัดการ ส่วนตนเองนั้นก็ยืนอยู่ไม่ไกลจากหรูซิน
“หนาวหรือเปล่า” ถามอีกรอบเพราะเห็นคนตัวเล็กยืนตัวสั่น เพราะนี้ก็เริ่มดึกแล้วอีกทั้งยังมีลมด้วย หน้าตานางก็มอมแมมทว่ามันก็ยังน่าเอ็นดูสำหรับเขา
“หรูซินสวมไว้ ท่านป้าตรงนั้นมอบให้ ส่วนอันนี้ของเจ้าฟูชิง” เป็นเสิ่นหยางที่เอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นผ้าให้
“ขอบคุณพี่เสิ่น พี่เองก็หนาวไม่ใช่หรือ มาข้าถูมือให้” เอ่ยพร้อมกับกุมมือเขาไว้ และถูไปมาจนเสิ่นหยางถึงกับยิ้มหน้าบาน ต่างจากใครบางคนที่ยืนมองด้วยสายตาขุ่น
“พอเถอะ ท่านอ๋องก็อยู่นะ” เสิ่นหยางเอ่ยก่อนจะชักมือกลับ เพราะเกรงว่าจินอ๋องจะตำหนิเอาได้
“ท่านอ๋องไม่ถือสาหรอก เพราะพระองค์ก็แสดงท่าทีห่วงใยพี่สาวข้าเหมือนกัน มันเป็นปกติของคนที่ใกล้จะแต่งงานกันไม่ใช่หรือ ไม่เห็นต้องอายเลย” เอ่ยแล้วก็หันมายิ้มให้จินอ๋อง ซึ่งเฟิงหรานก็ได้แต่มองมาด้วยสายตาตัดพ้อ จนคนยิ้มอยู่ต้องรีบหุบแล้วหันหนีทันที
“อะไรกัน ไยเขาต้องทำสายตาเช่นนี้ด้วย” ก่นว่าอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะเดินหนีออกไปดื้อๆ ทำให้ฟูชิงที่กำลังจะหย่อนก้นนั่งต้องรีบตามไปทันที จางเฟยผู้หมายจะคุยด้วยจึงได้แต่ยกมือและอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น
“หึหึ ชักช้าเช่นเจ้ามันจะไปทันกินได้เยี่ยงไร” ไห่เฉิงเดินมาใช้ศอกวางบนบ่าคนสนิทของจินอ๋อง และคำพูดเขามันก็กระทบสหายเข้าเต็มๆ จนต้องเผชิญกับสายตาคมดุที่มองมา ก่อนที่ร่างสูงจะเดินหนีไป ทำเอาสหายถึงกับผูกคิ้วเป็นปม ก่อนจะหันมาหาจางเฟยอีกรอบ
“ข้าพูดอันใดผิดไปกระนั้นหรือ?”
“ผิดมากเลยขอรับ” ตอบแล้วก็เดินหนีไป ทำเอาคนถามยิ่งฉงนเข้าไปใหญ่ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่อยากรู้
หลังจากนั้นคนเจ็บก็ถูกส่งกลับจวน รวมถึงคุณหนูหลี่ที่ยังมีอาการตื่นกลัว พอกลับมาถึงจวนได้นางก็อาละวาดทันที พร้อมกับสั่งโบยคนของตนที่ทำงานพลาด ทว่าหัวหน้าที่รับงานรีบแจ้งว่าไม่ใช่ฝีมือพวกเขา เพราะตั้งใจจะลงมือตอนที่คุณหนูเฉียวกลับจวน
“แล้วใครกันที่คิดทำเรื่องเช่นนี้ มันหมายจะให้ข้าตายไปด้วยงั้นหรือ” น้ำเสียงนางเจือปนไปด้วยอารมณ์ ต่างจากยามที่อยู่ท่ามกลางผู้คนนัก
“คุณหนูจินอ๋องส่งหมอมาดูอาการท่านเจ้าค่ะ ดูท่าคงเป็นห่วงท่านไม่น้อยนะเจ้าคะ” สาวใช้รีบแจ้งข่าว
“จริงหรือ…พวกเจ้าออกไปก่อน แล้วอย่าลืมหากสบโอกาสรีบจัดการมันเสีย” สั่งคนของตนแล้วก็รีบทำทีตัวสั่น
ราวกับว่านางยังคงตื่นกลัวอยู่ ไม่กี่อึดใจคนสนิทของจินอ๋องก็เข้ามาพร้อมกับหมอประจำจวนอ๋อง ผ่านไปหนึ่งเค่อก็จ่ายยาและกลับออกไป
“คนสนิทท่านอ๋องมาเองเช่นนี้ น่าจะทรงเป็นห่วงคุณหนูไม่น้อยนะเจ้าคะ ก่อนนั้นหากท่านอ๋องไม่ออกรบ ไม่แน่ว่ายามนี้คุณหนูอาจได้เป็นพระชายาอ๋องแล้วก็ได้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น หากฝ่าบาทไม่มีราชโองการออกมาเสียก่อน ข้าคงได้เป็นชายาจินอ๋องแล้ว ทว่ายามนี้ตัวเขาคงอยู่ที่จวนสกุลเฉียวกระมัง เพราะมู่หลิงคือคู่หมั้นเขา”
“หากไม่มีนางอยู่ขวางหูขวางตา ท่านอ๋องก็ต้องยอมรับคุณหนูของบ่าวเป็นพระชายาแน่นอนเจ้าค่ะ” สาวใช้ยังคงออกความคิดเห็น ซึ่งมันก็ไปทางเดียวกับผู้เป็นนาย ยามนี้ไม่มีใครห้ามใครมีแต่หลงไปในทางเดียวกัน
ด้านจวนสกุลเฉียว จินอ๋องมาที่นี่จริง ทว่าเขาก็แค่มาส่งคุณหนูทั้งสองเท่านั้น ก่อนจะแยกกลับในทันทีเมื่อสตรีทั้งสองเข้าจวน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะกลับจริงๆ
เพราะยามนี้เขาแอบอยู่บนหลังคา เพื่อดูว่าเรือนไหนเป็นที่พักของหรูซิน จนกระทั่งสืบรู้จึงได้รอจนกระทั่งนางเข้าห้อง ซึ่งสาวใช้ไม่ได้ตามมาด้วย เนื่องจากผู้เป็นนายไล่ให้ไปพัก เพราะต่างก็เหนื่อยกับการช่วยชีวิตคนเช่นกัน
หรูซินอาบน้ำเสร็จก็สวมใส่ชุดนอน พร้อมกับปล่อยผมยาวสลวยลงมาทั้งหมด ก่อนจะเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ แล้วตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ทว่านางต้องกลับหลังหันในทันทีเมื่อเห็นใครบางคนในกระจกทองเหลือง
“ท่านอ๋อง!...อ๊ะ…อื้อ”