บทที่ 13 คุยกันแบบเปิดอก
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เฉิงเทียนหยวนก็พาเธอกลับไปที่โรงแรม
"ได้งานทำแล้ว สองวันนี้พยายามหาบ้านย้ายเข้าไปให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้เที่ยงฉันจะลางาน ช่วยเธอดูแถวๆ สำนักพิมพ์"
เซวียหลิงแอบดีใจ แล้วพูดขึ้น "ได้เลย! "
เซวียหลิงนึกถึงจักรยานแล้วพูดขึ้น "ไม่รู้แถวนี้มีจักรยานมือสองขายไหม? ฉันอยากซื้อสักคัน จะได้ขี่ตอนไปทำงานกับเลิกงานได้ เข้าออกก็สะดวกขึ้น"
เฉิงเทียนหยวนพยักหน้า เอ่ยเตือน "จักรยานราคาไม่ถูก มือสองส่วนใหญ่ก็ต้องใช้ประมาณสี่สิบกว่าหยวน"
ก่อนหน้านี้เขาไปชำระเงินที่โรงแรม เถ้าแก่เนี้ยบอกว่าเธอจ่ายตรงเวลาทุกวัน
ไม่กี่วันก่อนเธอควักเงินสองร้อยช่วยจ่ายหนี้ครอบครัวเฉิงเปียว แถมควักเงินอีกห้าร้อยหยวนซื้อที่ดินรกร้างยี่สิบหมู่ภายในรวดเดียว
ก็ไม่รู้เธอมีเงินที่ตัวเท่าไรกันแน่ ทำไมใช้จ่ายไม่ยับยั้งชั่งใจแบบนี้?
ครอบครัวเฉิงเทียนหยวนยากจนตั้งแต่เด็ก จะทำอะไรก็วางแผนรอบคอบ เห็นภรรยาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเตือนตัวเอง
"เธอเพิ่งเริ่มทำงาน ตอนนี้ต้นเดือนอยู่ อย่างน้อยต้องรอหนึ่งเดือนถึงได้รับค่าจ้าง ต่อไปเช่าบ้านก็ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ต้องประเมินให้รอบคอบหน่อยนะ"
เซวียหลิงฟังจบก็หัวเราะคิกคัก พูดขึ้น "ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ดีแก่ใจ วันมะรืนฉันจะไปที่ทำการไปรษณีย์รับเอกสารงานแปลที่เพื่อนฉันส่งมา จะรีบตั้งใจหาเงิน"
ชาติที่แล้วเธอบริหารบริษัทใหญ่ ถึงจะไม่ใช่องค์กรระหว่างประเทศ อย่างน้อยก็เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ขนาดก็ไม่เล็กเลย
ตอนนี้ควรใช้ยังไง วางแผนการทำงานยังไง เธอประเมินไว้หมดแล้ว
"พี่หยวน นายไม่ต้องห่วง! เมื่อก่อนฉันก็เคยยากจน รู้ว่าใช้เงินมั่วๆ ไม่ได้ แนวคิดการใช้เงินของฉันรู้ว่าควรใช้จ่ายกับอะไร อะไรที่ไม่ควรใช้ก็ไม่สิ้นเปลืองอย่างเด็ดขาด"
มุมปากเฉิงเทียนหยวนยกขึ้น แล้วตอบ "อืม" เรียบๆ
ไม่คิดเลยว่าแนวคิดการใช้เงินของเธอกับตนจะคล้ายกันมาก!
เมื่อคิดอย่างรอบคอบ ถึงแม้เธอจะใช้ทีละห้าร้อยหยวน แต่เรื่องอื่นเธอก็ประหยัดเท่าที่ประหยัดได้ สองสามวันนี้นอกจากอาหารสามมื้อแล้ว เธอก็แทบไม่ซื้ออะไรเลย
พวกเพื่อนร่วมงานสาวของเขา แค่มีเวลาก็จะคุยกันเรื่องซื้อเสื้อผ้าใหม่ซื้อขนมกิน แม้แต่น้องสาววัยสิบกว่าที่บ้านเขา ตราบใดที่ในกระเป๋าเงินมีเงินอยู่นิดหน่อย ก็หยุดกินขนมไม่ได้
แต่เธอไม่ทำแบบนั้น นอกจากอาหารสามมื้อ ในห้องก็ไม่มีของหวานพวกเม็ดแตงหรือขนมโก๋ถั่วเขียวเลย
ดูเหมือน เมื่อก่อนเขาจะเข้าใจเธอผิดไปเป็นส่วนใหญ่
แต่มีบางส่วนที่เธอพูดผิดไป เมื่อก่อนเธอเคยจนที่ไหน? หมายถึงสมัยเด็กที่อยู่ปากซอยต้าหูถงเหรอ?
จริงๆ แล้ว ถึงแม้ลุงเซวียจะพาภรรยาและลูกสาวมาทำงานช่างที่อำเภอห่างไกล ในตอนแรกโรงงานปุ๋ยเคมีก็ไม่ได้ปฏิบัติแย่กับเขา ตอนนั้นเขาอายุมากกว่าเธอ แนวคิดเรื่องการใช้เงินก็ชัดเจนกว่า
ตอนนั้นค่าจ้างลุงเซวียมากกว่าพ่อเขาสามเท่า อาหารและที่พักของตระกูลเซวียก็ถือว่าอยู่ระดับคนรวย
ได้ยินมาว่าภายหลังย้ายกลับไปเมืองหลวง ไม่นานลุงเซวียก็ทำธุรกิจทางทะเล หาเงินได้ไม่น้อย
เธออยู่เมืองใหญ่อย่างเมืองหลวงมาตั้งแต่เด็ก เทียบกับสภาพแวดล้อมอำเภอแล้ว จะต้องรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นไม่ค่อยดีอยู่แล้ว
ที่จริงแล้ว ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
ชาติที่แล้วเซวียหลิงเคยเปิดบริษัทกับพวกคนเลว คนเลวฉวยโอกาสตอนเธอไม่ระวัง ขโมยเงินทุนทั้งหมดกับเงินชำระสินค้าส่วนใหญ่ของบริษัทไปหมด ทิ้งบริษัทที่เป็นหนี้ก้อนโตให้เธอ
ช่วงเวลานั้น เธอยากจนถึงขนาดสามมื้อกินได้แค่หมั่นโถวและน้ำต้มสุก คนเดียวทำงานสำหรับห้าหกคน บางครั้งหนึ่งวันนอนไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ
ด้วยความขยันหลายปี เธอก็ชำระหนี้หมดในที่สุด ทำให้บริษัทขาดทุนกลายเป็นกำไร ผ่านความยากลำบากมาได้
เซวียหลิงหมายถึงช่วงเวลานั้น อธิบายว่าเธอคือคนที่อดทนผ่านความยากลำบากมา จะกล้าใช้เงินตามอำเภอใจได้ที่ไหน
เธอผ่านประสบการณ์มามากมาย ไม่ใช่คุณหนูคนโตผู้เย่อหยิ่งในอดีตอีกแล้ว
ที่จริงแล้ว เซวียหลิงก็รู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง โชคชะตามหัศจรรย์แบบนี้ ให้เธอกลับมาในอดีต และให้เธอมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
รู้สึกเศร้าสลดสักพัก อดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต เธอกอดเอวแข็งแกร่งของเฉิงเทียนหยวน ใบหน้าเล็กสวยแนบแผ่นหลังเขา น้ำตาคลอเบ้าอย่างช่วยไม่ได้
โชคดีที่ข้างกายยังมีเขาในตอนนั้น......
มือที่เอวกระชับแน่น แผ่นหลังเต็มไปด้วยสัมผัสนุ่ม เฉิงเทียนหยวนเขินอายเล็กน้อย พยายามแสร้งทำเป็นปกติทุกอย่าง ถีบจักรยานอย่างใจเย็นเหมือนตอนปกติ
แต่เขาไม่สังเกตเลยว่า จักรยานดูเหมือนจะเบาขึ้นเยอะ อารมณ์ก็ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว......
หลังจากมาถึงโรงแรม เฉิงเทียนหยวนไม่กล้าหันศีรษะกลับไปมองเธอ แค่ทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง "พักผ่อนไวๆ นะ!" จากนั้นก็รีบขี่จักรยานไปข้างหน้า
เซวียหลิงตาแดงก่ำ มองแผ่นหลังเขาที่กำยำตระหง่านจากไปอย่างรวดเร็ว ก็เม้มปากหัวเราะเสียงทุ้ม
ในคืนนั้น เธอนอนหลับฝันดี แถมฝันดีด้วย
ในฝัน เฉิงเทียนหยวนกำลังขี่จักรยาน พาเธอไปที่ถนนเล็กในชนบท ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกัน......
วันต่อมาตื่นขึ้น เธอค่อนข้างสายแล้ว รีบล้างหน้าแปรงฟันออกจากห้อง
ตอนรอรถประจำทาง เธอซื้อมันเทศลูกใหญ่แถวๆ สถานีรถ รอไปกินไป มื้อเช้าอิ่มพอดี
ตอนรีบร้อนไปถึงสำนักพิมพ์ เพื่อนร่วมงานหลายคนมาถึงแล้ว หวังชิงก็เพิ่งถึงเช่นกัน
"อรุณสวัสดิ์!"
"อรุณสวัสดิ์!"
ทุกคนยิ้มทักทายกันและกัน จากนั้นก็ทำงานของตัวเอง
ผอ.หลิวก็มาถึงตรงเวลา ถามเรื่องการโอนงานของเซวียหลิงกับหวังชิงว่าทำถึงไหนแล้ว อาทิตย์หน้าสามารถเผยแพร่ข้อมูลคอลัมน์ภาษาอังกฤษได้ตรงเวลาหรือไม่
เซวียหลิงตบบ่าหวังชิงข้างกาย แล้วยิ้มตอบ "พี่หวังชิงส่งข้อมูลให้ฉันแล้วค่ะ แถมสอนเคล็ดลับมากมายให้ฉันด้วย ฉันอ่านคอลัมน์ล่าสุด แล้วก็ทำสรุปแล้ว การเตรียมเบื้องต้นสำหรับคอลัมน์อาทิตย์หน้าเสร็จแล้วด้วย เชิญท่านผอ.ดูให้หน่อยค่ะ"
ผอ.หลิวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ พูดขึ้น "วัยรุ่นกระปรี้กระเปร่าดีจัง ทำงานได้วันเดียว ก็ทำได้เยอะขนาดนี้! ดี! ดีมาก! หวังชิงเป็นหนึ่งในวัยรุ่นยอดเยี่ยมที่สุดของสำนักพิมพ์เรา ดีแล้วที่เรียนรู้กับเธอ"
หวังชิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเขินอาย เหลือบมองเซวียหลิงเงียบๆ ในใจยากที่จะซ่อนความซาบซึ้ง
ที่จริงแล้ว เธอรู้แค่คำศัพท์ไม่กี่คำ คอลัมน์ไม่กี่ฉบับก่อนหน้านี้คือโดนบีบบังคับให้ทำงานไม่ถนัด ทำออกมาแล้วรู้สึกพอแค่ไปวัดไปวา
เดิมทีคิดว่าผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอย่างเซวียหลิงมาถึง เธอจะต้องถูกเปรียบเทียบอย่างหนักแน่ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเซวียหลิงจะถ่อมตัวขนาดนี้ แถมจงใจชมตนต่อหน้าผอ.ด้วย
เธอมีนิสัยขี้อาย และไม่มีความมั่นใจ ปกติอยู่ที่สำนักพิมพ์ก็แค่ทำงานตัวเองให้ดีด้วยความหวั่นเกรง ผอ.ชมตนน้อยครั้งมาก เธอยังคิดอีกว่าผอ.ไม่เห็นความสำคัญของตนเลย
จู่ๆ ผอ.บอกว่าตนเป็นวัยรุ่นที่ดี แถมให้เซวียหลิงเรียนรู้กับตน----รู้สึกละอายใจจัง!
แต่ในใจเธอสุขใจมากกว่า
เซวียหลิงพูดแบบนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้นำพึงพอใจ ยังฉวยโอกาสได้หัวใจของหวังชิงเพื่อนร่วมงานคนนี้อีกด้วย
ต่อไปในอนาคต ต้องได้รับความช่วยเหลือและการเตือนจากหวังชิงเธอถึงจะมีชีวิตอย่างราบเรียบปลอดภัย----นี่คือสิ่งที่ต้องพูดต่อภายหลัง
ตอนกลางวัน อาหารกลางวันมาเสิร์ฟล่วงหน้า ผอ.ให้ทุกคนไปกินข้าวกันก่อน
เซวียหลิงนึกถึงคำพูดเฉิงเทียนหยวนเมื่อวาน ในใจลังเลว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อช่วยหาบ้านหรือเปล่า มองกล่องข้าวอะลูมิเนียมร้อนระอุสองกล่อง ก็รู้สึกไม่อยากอาหารชั่วคราว
"พี่หวังชิง พวกคุณกินกันไปก่อนนะ ฉันจะออกไปหาใครบางคน ไว้กลับมาเจอกันนะ!"
เธอยัดกล่องข้าวเข้าไปในกระเป๋าลายทหาร สวมรองเท้าสานพลาสติก แล้วรีบออกไปจากสำนักพิมพ์