9.ได้เพื่อนใหม่
ม่านชิงผูกคิ้วเป็นปมกับท่าทางของคนตรงหน้า นี่ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเธอคงอายม้วนไปแล้ว เพราะจ้องไม่หลบตาเลย
“ว่าไง เธอยังมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ แค่เห็นว่าคุณสวยดี” ชมกลบเกลื่อน ความจริงแล้วจินผิงแค่ดีใจที่ได้เห็นคนหน้าตาเหมือนเพื่อนสนิทในโลกปัจจุบันเท่านั้น เลยมองเพลินไปหน่อย แต่จะว่าไปคนตรงหน้าก็สวยอย่างที่บอกนั่นแหละ แค่แต่งหน้าจัดไปเท่านั้น
“หึ! งั้นเหรอ ว่าแต่พวกเธอมาจากไหนกันล่ะ”
“เอ่อเราทำอาชีพขายบะหมี่ค่ะ” เจียวหมี่พูดขึ้นบ้าง กลัวว่าเพื่อนรักจะพูดอะไรไม่เข้าหูคนอื่นอีก ช่างขยันสร้างศัตรูจริง ๆ
“จริงเหรอ แถวไหนล่ะ” ม่านชิงถามอย่างสนใจ
เจียวหมี่เผยอปากตั้งท่าจะตอบ ทว่ามีมือมาจับแขนเธอบีบเข้าซะก่อน ตามมาด้วยเสียงของเพื่อน “เข็นรถไปเรื่อยค่ะ ไม่เป็นหลักแหล่ง” จินผิงตอบแทน เรื่องเมื่อครู่ทำให้เธอต้องระมัดระวังตัว กลัวผู้หญิงที่ยืนจ้องเธอเขม็งจะสั่งลูกน้องมาก่อกวน
“งั้นเหรอ น่าเสียดายนะ อ้อ! ฉันชื่อม่านชิงนะอายุสิบแปด ส่วนนี่น้องสาวฉัน ม่านเอ๋อร์อายุสิบเจ็ด ส่วนนี่เจียงอวี้เพื่อนฉัน ปากร้ายไปงั้นแหละ ถ้าได้รู้จักจะรู้ว่าน่ารักแค่ไหน” แนะนำอย่างเป็นมิตร จินผิงและเจียวหมี่โค้งให้ทั้งสามเล็กน้อย
“ฉันจินผิงค่ะ ส่วนนี่เจียวหมี่และจางเป่าน้องชายเรา”
“พวกเธอเป็นพี่น้องกันเหรอ” คำถามเริ่มมีมาเรื่อย ๆ หลังจากนั้น ทำให้สาว ๆ ลืมเวลาไปเลย ม่านชิงพาสามพี่น้องไปทานอาหารในร้านหรูแห่งหนึ่งเพื่อสร้างมิตรภาพที่ดี
แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ชอบใจอยู่เหมือนเดิม เจียงอวี้ไม่ชอบคบหาคนที่มีฐานะต่ำกว่า เธอเป็นลูกสาวของรองหัวหน้าหอการค้าในเขตมณฑลนี้ ฐานะทางบ้านจึงดีมาก
“จางเป่าชอบอาหารไหม” ม่านเอ๋อร์ถามเด็กชาย พร้อมกับหยิบแอปเปิ้ลส่งให้หนึ่งลูก เธอยิ้มหวานส่งให้จนจางเป่าต้องรีบหันหนี เพราะรู้สึกอายขึ้นมาจนพี่สาวอดหมั่นไส้ไม่ได้
“อร่อยครับ” จางเป่าบอกเบา ๆ หน้าก็หันมาทางพี่สาว
“นี่ก็มืดแล้วถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปส่งพวกเธอนะ” ม่านชิงอาสา
“ไม่เป็นไรค่ะ เราจะเดินย่อยไปเรื่อย ๆ ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากเลยนะคะ” บอกอย่างเกรงใจ พวกเธอพยายามปฎิเสธแล้ว แต่ว่าม่านเอ๋อร์ดันจูงแขนจางเป่าพาไปที่ร้านก่อนนี่สิ ทำให้สองสาวต้องเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“งั้นก็ได้ เอาไว้โอกาสหน้าถ้าเราได้เจอกันอีก พวกเธอก็เลี้ยงคืนด้วยบะหมี่นะตกลงไหม” ยังย้ำเรื่องที่คุยกันไว้ สองสาวจึงรับคำแล้วก็ขอตัวแยกออกไป
“เห้อ! อึดอัดชะมัด” เจียวหมี่บ่นพึมพำเมื่อออกมาไกลแล้ว
“ทำไม ไม่ชินกับอาหารดีดีเหรอ”
“ชิ! อาหารพวกนั้นน่ะเหรอ แพงซะเปล่าเธอทำอร่อยกว่าอีก” บอกอย่างที่คิด ในใจเจียวหมี่ไม่มีใครทำอาหารอร่อยเท่าจินผิงแล้ว หมักเครื่องปรุงรสก็เป็น ทำอะไรก็อร่อยทุกอย่าง
“ผมก็ว่างั้น” พูดโดยที่ตาก็จ้องผลแอปเปิ้ลในมือ เด็กน้อยไม่ยอมกัดมันกินเลย ดูท่าคงถูกใจคนให้มาก
“แหนะ! สงสัยคืนนี้เจ้าแอปเปิ้ลผลน้อยคงได้อยู่บนแท่นบูชาหัวเตียงซะล่ะมั้ง” จินผิงแซวน้องชาย พร้อมกับทำท่ายื้อแย่ง ทั้งคู่วิ่งไล่กันไปตามไหล่ทาง มีเจียวหมี่วิ่งตามอย่างสนุกสนาน
“ชิ! พวกคนจน แม้แต่เงินขึ้นรถบัสยังไม่มี ยังสะเออะมาเดินเที่ยวห้างอีก รู้ไหมม่านชิง ฉันอายคนจะแย่ที่ต้องเดินรวมกับสามคนนั้น และยังต้องทนเห็นหน้าพวกมันตอนกินข้าวอีก” เจียงอวี้หันมาพูดกับเพื่อนที่นั่งอยู่เบาะหลัง มีม่านเอ๋อร์นั่งยิ้มแห้งอยู่ข้างกัน คิดไม่ถึงว่าเพื่อนพี่สาวจะยังอารมณ์เสียอีก
“เธอคงไม่เห็นว่าคุณชายมู่ยืนดูอยู่ในร้านขายเสื้อผ้าสินะ” บอกออกมาเสียงเรียบ ต่างจากตอนที่มีสามคนนั้นอยู่ด้วยเป็นอย่างมาก สีหน้าท่าทางตอนมองสามคนนั้นเดินอยู่ข้างถนนก็เช่นกัน มันดูเหมือนมีบางอย่างแอบแฝงอยู่
“จริงเหรอ งั้นเขาก็เห็นหมดแล้วสิว่าฉันทำอะไรลงไปบ้าง”
“คิดว่าไงล่ะ” ตอบอย่างไม่ยี่หระ
“โอ๊ย! ตายแล้ว เขาต้องมองว่าฉันเป็นผู้หญิงร้ายกาจแน่” โวยวายลั่นรถ สุดท้ายก็โดนม่านชิงบ่นให้อีกถึงได้หยุด
“ถ้างั้นที่พี่ทำดีกับสามคนนั้นก็เพื่อตบตาคุณชายมู่เหรอคะ ม่านเอ๋อร์คิดว่าเราจะได้เพื่อนใหม่ซะอีก”
“เพื่อนที่โรงเรียนเธอไม่มีหรือไง ถึงอยากคบหาพวกคนชั้นต่ำแบบนั้น อย่าให้เห็นนะว่าเธอนัดพบกับพวกมัน” กำชับเสียงดัง ต่างจากท่าทางเอาใจใส่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นมาก เพราะน้องสาวคนนี้เป็นลูกของเมียอีกคนของพ่อเธอ ที่ต้องพาไปไหนมาไหนด้วยก็เพราะต้องฟังคำสั่งพ่อนั่นเอง
“ค่ะ” ม่านเอ๋อร์รับคำเสียงเบา เธอทำได้เพียงแค่ก้มหน้าเหมือนเคย จนกระทั่งรถแล่นเข้ามาจอดในคฤหาสน์หลังใหญ่
ทั้งสามแยกย้ายกันกลับห้อง เจียงอวี้เองเธอก็พักที่นี่ในช่วงวันหยุด จะได้ออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนสะดวก ทางบ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเลี้ยงแบบอิสระเหมือนคนตะวันตก
ทันทีที่ร่างอรชรกลับเข้าห้องของตัวเอง เธอก็บอกสาวใช้คนสนิทให้ปิดประตูทันที
“แกคุ้นหน้านังนั่นหรือเปล่า คนที่ชื่อจินผิง”
“คุ้นค่ะ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน”
“แต่ฉันรู้ มันคือคนที่เราจัดการในซอยข้างโรงแรมเมื่อสิบสี่วันก่อน” บอกเสียงเรียบ ดวงตาสวยคมดุด้วยแรงอาฆาต
“แต่มันตายไปแล้วนะคะ เสี่ยวหมิ่นตรวจดูเองกับมือ คุณหนูจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ” บอกอย่างมั่นใจ ตอนนั้นเธอใช้มืออังจมูกอยู่พักหนึ่งหญิงสาวคนนั้นก็ไม่หายใจแล้ว ยังไงก็ตายแน่ ยาพิษที่ใช้ก็ออกฤทธิ์แรงจะรอดได้ไง
“หรือฉันจำผิดจริง ๆ ถ้าเป็นมัน มันจะจำเราไม่ได้เลยเหรอ” นึกในใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ อีกฝ่ายไม่ได้ทักท้วงอะไร
“คนตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้ยังไงคะ” สาวใช้พยายามเตือนสติให้ผู้เป็นนายคิด ซึ่งมันก็ควรเป็นอย่างที่เธอพูด
“แกลืมไปแล้วเหรอว่าไม่มีข่าวคนตายในซอยนั้นเลยนะ ถ้ามันตายจริงก็ต้องมีคนเจอศพเรื่องมันจะเงียบแบบนี้เหรอ คิดสิคิด ไม่รู้แหละ ไปสืบมาให้ฉัน ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร คืนนั้นมันอยู่แถวโรงแรมหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นมันนั่นแหละ”
“แต่ถ้าใช่ ทำไมมันถึงจำพวกเราไม่ได้คะ” ถามอย่างพาซื่อ
“แล้วฉันจะไปรู้เหรอ รีบออกไปจัดการสิ มัวมานั่งบื้ออยู่ได้” ตะคอกใส่อีกหน อารมณ์เธอมันเริ่มจะคุมไม่อยู่แล้ว กลัวว่าคนที่เจอวันนี้จะเป็นหญิงสาวที่เธอจัดการเมื่อคืนนั้นจริง ๆ
“ถ้าเป็นแกจริง คราวนี้ฉันไม่ปล่อยให้รอดไปได้แน่” พึมพำอยู่คนเดียว หลังจากสาวใช้ออกไปจากห้องแล้ว เธออุตส่าห์สั่งคนกำจัดพวกที่รู้เห็นจนหมด แม้กระทั่งบริกรที่วางยาโจเยว่
เธอสั่งให้มันไปรอที่จุดนัดพบ จากนั้นก็ให้คนของพ่อไปจัดการทำเหมือนมันผูกคอตาย ทุกอย่างก็เงียบหายไป แต่วันนี้กลับมีคนหน้าเหมือนผู้หญิงคนนั้นโผล่มาให้เธออยู่ไม่เป็นสุขอีก ทั้งที่ทุกอย่างมันควรจะจบลงที่บริกรนั่นตายไปแล้วแท้ ๆ
ยังมีปัญหามาเพิ่มให้เธอต้องยุกยากใจอีก เรื่องนี้เธอไม่ปล่อยผ่านไปโดยไม่สืบหาความจริงแน่ ก็แค่คนชั้นต่ำไม่ได้หนังสือ แค่ทำดีด้วยมันก็ตายใจหลงเชื่อแล้ว ไม่นานก็จะกลายเป็นเหยื่อให้เธอเชือดง่าย ๆ
“ถ้าไม่ใช่แกก็จะรอดตัวไปนังจินผิง” ประโยคทิ้งท้ายดังขึ้น ก่อนที่ร่างอรชรนั้นจะหายเข้าไปในห้องน้ำ
ด้านสามพี่น้องเดินมาถึงปากซอยเข้าบ้านแล้ว จินผิงคอยมองมาด้านหลังตลอด เพื่อดูว่ามีคนตามมาหรือเปล่า เธอกลัวว่าเจียงอวี้จะคิดเอาคืน เพราะดูจากสีหน้าคือไม่พอใจพวกเธอมาก
“เธอพาจางเป่าเดินกลับบ้านไปก่อนนะ ฉันขอนั่งเล่นแถวนี้ก่อนสักพัก” คำพูดของเธออีกฝ่ายไม่เข้าใจเลยสักนิด
“จะมานั่งคนเดียวได้ไง ถ้าจะอยู่ก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ” รีบท้วงทันที เจียวหมี่คิดว่าเพื่อนตั้งใจจะทำอย่างที่พูดจริง
“เห้อ! เธอนี่นะ ฉันกลัวจะมีคนแอบตามเรามาเลยอยากให้เธอพาจางเป่ากลับไปก่อน สักพักฉันจะตามไป อย่าถามมาก” ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายเมื่อเห็นเจียวหมี่ตั้งท่าจะพูด
“ก็ได้ ระวังตัวนะ” เพราะรู้ว่าขัดไม่ได้เลยต้องทำตามจินผิงบอก เจียวหมี่จูงมือน้องชายกลับเข้าซอยไปทั้งที่ใจก็หวงเพื่อน แต่ทุกวันนี้ความฉลาดเธอมีไม่มากเท่าเลยเลือกเชื่อฟังดีกว่า
#ใครทำร้ายลูกสาวฉัน