8. คนอะไรมีหาง
04:00 ของวันใหม่
จินผิงตื่นขึ้นมาเตรียมต้มน้ำซุป มีเจียวหมี่ลุกมาช่วยจับโน่นหยิบนี่ให้ และเธอก็พยายามเรียนรู้ไปด้วย เพราะเพื่อนสนิทไม่ได้ปกปิดสูตรอะไรเลย ขอแค่อย่าเอาไปบอกคนอื่นก็พอ ไม่งั้นเส้นทางการทำมาหากินของพวกเธอก็อาจต้องเริ่มใหม่อีก
ทั้งคู่ช่วยกันจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง เหลือแค่น้ำซุปซึ่งต้มเนื้อเคี้ยวให้เปื่อยนุ่มไปด้วย กว่าจะถึงเวลาเข็นรถออกไปเอาของไปตั้งขาย คาดว่ามันคงได้ที่พอดี
“เธอไปพักเถอะ ที่เหลือฉันจัดการเอง” เจียวหมี่บอกเพื่อน
“ไม่เป็นไร เห็นมีหมูที่เธอซื้อมา ฉันว่าจะเอามาทำเกี๊ยวดู ฉันทำแป้งเผื่อไว้แล้ว บางทีอาจมีคนอยากกิน”
“มางั้นฉันช่วย” ในเมื่ออีกคนไม่ยอมพัก ก็ต้องช่วยกันทำนี่แหละมันถึงจะเสร็จไว ซึ่งวันนี้เจียวหมี่รู้สึกมีความสุขยังไงไม่รู้ ปกติเธอจะอยู่ในครัวคนเดียวหมุนซ้ายขวาลำพัง แต่วันนี้กลับมีคนมาช่วย ทำให้อิ่มเอมใจยังไงบอกไม่ถูก
06:30
เจียวหมี่จัดเตรียมทุกอย่างใส่รถเข็นเรียบร้อยแล้ว จางเป่าเองก็เหมือนกัน เขาลุกขึ้นมาจัดการตัวเองเพื่อเตรียมไปโรงเรียน
จากนั้นสองพี่น้องก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน จินผิงก็เก็บล้างอุปกรณ์ที่ทำเลอะเอาไว้จนเรียบร้อย หากคนในโลกปัจจุบันมาเห็นคงไม่เชื่อแน่ว่าคุณหนูร้อยล้านจะมาทำเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าไม่ทำลู่จินผิงก็ต้องมีชีวิตอนาทกว่าที่เป็นในตอนนี้ ยิ่งขี้เกียจความลำบากก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ถ้าขยันวันนี้ความสบายก็ยิ่งขยับเข้าใกล้เร็วขึ้นอีก นี่คือสิ่งที่เธอคิด
นับจากวันนั้นเธอก็ทำแบบนี้ทุกวัน และร้านบะหมี่ก็ขายดีมาก นี่ก็สิบวันมาแล้วกับการขายบะหมี่หยกน้ำแดงสูตรเด็ด
16:00
“ดูนี่สิจางเป่า เรามีเงินเก็บห้าสิบหยวนเป็นครั้งแรกแล้วนะ” เจียวหมี่บอกอย่างดีใจ เธอหยิบเอาธนบัตรออกมากองให้น้องชายดูเป็นขวัญตา ตรงข้ามก็มีจินผิงนั่งยิ้มอยู่
“โอ้โห! นี่มันเงินจริง ๆ เหรอพี่ ขายสิบวันได้เงินห้าสิบหยวนเชียว อีกหน่อยเราก็รวยแล้วสิ” เด็กชายพูดเสียงตื่นเต้น มือน้อยก็ยื่นออกมาจับลูบลงบนธนบัตรอย่างชื่นชม
“ถ้าเราขายได้แบบนี้เรื่อย ๆ นะ” เจียวหมี่หันมายิ้ม “ขอบใจนะจินผิง ที่เธอทำให้เรามีเงินเก็บแบบนี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนขายทั้งปียังได้ไม่ถึงยี่สิบหยวนเลย” บอกไปตามจริง
“มันแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ” คนอยากรู้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“อืม อย่างที่บอก วันหนึ่งขายได้มากสุดก็หนึ่งถึงสองหยวน พอหักค่าใช้จ่ายก็เหลือไม่กี่เฟิน ไหนจะค่าอย่างอื่นอีก”
“งั้นต่อไปเราจะไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนะ ถ้าขายได้แบบนี้ทุกวัน ต่อไปเราจะหาห้องเช่าเปิดร้านที่ใหญ่ขึ้น เราสามคนจะต้องกลายเป็นคนรวยมีชื่อติดอันดับของเมืองนี้ให้ได้” จินผิงพูดในสิ่งที่เธอตั้งใจ ซึ่งมันทำให้สองพี่น้องหันมองหน้ากันทันที ก่อนจะยิ้มแหยออกมา ทำเหมือนไม่เชื่อ
“ชิ! ไม่เชื่อล่ะสิ” มองค้อนทั้งคู่
“โอ๋ ๆ ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่เราจะฝันไปถึงวันนั้น เราทำไปเรื่อย ๆ เก็บออมไปก่อนดีกว่านะ” เจียวหมี่บอกอย่างเจียมตัว เรื่องลงทุนเสี่ยงกับเหตุการณ์ล่วงหน้าแบบนี้เธอไม่ค่อยถนัด กลัวมันจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด อีกอย่างพวกเธอก็เรียนมาน้อย เกือบไม่จบประถมด้วยซ้ำ พ่อแม่ก็มาเสียก่อน ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักลง จนต้องมายึดอาชีพค้าขายแบบนี้
“มีฉันอยู่ พวกเธอไม่ต้องกลัวหรอกน่า” พูดอย่างมั่นใจ
“ช่างเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ฉันอยากให้รางวัลเธอ เราไปหาเสื้อผ้าใหม่ แล้วก็เครื่องสำอางกันดีกว่า” เจียวหมี่รั้งแขนให้ลุก
เพราะเห็นว่าตลอดสิบวันมานี้จินผิงเหนื่อยมาก เธอช่วยทำทุกอย่างเว้นแต่ออกไปที่ร้าน เพราะอยากให้หน้าหายดีก่อน อีกอย่างคือกลัวว่าคนที่ทำร้ายเธอจะเจอเข้า หากฝ่ายนั้นรู้ว่าเธอยังไม่ตาย ชีวิตที่พึ่งเกิดใหม่นี้คงได้ตายอีกเป็นหนที่สองแน่
“ก็ดี ฉันอยากไปดูว่าที่นี่เขาขายเครื่องสำอางแบบไหนกัน” พูดเหมือนตัวเองไม่เคยไปเสียอย่างนั้น แต่เจียวหมี่ก็ไม่ได้ทัดทานอะไร เพราะช่วงหลังมานี้เธอเริ่มชินแล้ว
“ไปจางเป่า ไปเหมาตลาดกัน” หันมาคล้องคอน้องชายนอกสายเลือด แล้วทั้งสามก็ออกจากบ้านไป
ณ ห้างแห่งหนึ่งของมณฑล
จินผิงยกยิ้มมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว นึกไม่ถึงว่าเธอจะมีโอกาสได้มาสัมผัสกับบรรยากาศในสมัยอดีตที่ผ่านมากว่าสี่สิบปีแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก
ทุกอย่างมันต่างออกไปจากยุคปัจจุบัน การแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ก็ยังไม่ทันสมัยนัก แต่ก็ถือว่าดีกว่าช่วงปฎิวัติมาก
ถ้าเธอเกิดใหม่ในช่วงนั้นคงลำบากมากกว่านี้หลายเท่า
“ชุดนี้สวย เหมาะกับเธอเลย” เจียวหมี่หยิบชุดกระโปรงบานผ้าพริ้วสีชมพูอ่อนมาทาบตัวเพื่อนสนิท
“ดูราคาด้วย” จินผิงเตือนสติ ถ้าเป็นแต่ก่อนคงไม่พูดแบบนี้
“เอาน่าชุดละหยวนห้าเฟินเอง ฉันก็อยากได้ด้วย ถ้าเธอซื้อฉันถึงจะเอา” เจียวหมี่บอกอย่างอาย ๆ
“งั้นก็เอาเลย ขอสองชุดนะ เอาไว้ใส่ไปขายของ เผื่อจะมีหนุ่มรวย ๆ แวะผ่านมากินบะหมี่เรา ไม่แน่อาจขายออกทั้งคนทั้งอาหารก็ได้” พูดติดตลกแซวเพื่อนเล่น ก่อนจะเดินตรงไปยังส่วนของเครื่องสำอาง เธอหยุดมองผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างสนใจ
“ยุคนี้ยังไม่ค่อยมีครีมบำรุงผิวสินะ นี่ถ้าเราทำได้คงตีตลาดน่าดู แต่มันต้องลงทุนมากนี่สิ” บ่นพึมพำไปเรื่อย และมัวแต่มองดูของเลยไม่ทันระวัง เดินชนเข้ากับผู้หญิงที่ตัวเท่ากันจนเกือบเซล้ม ดีที่เธอมือไวรั้งอีกฝ่ายได้ทัน
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันระวัง” จินผิงรีบโค้งให้
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สาวใช้รีบตรงเข้ามาประคอง ก่อนจะใช้สายตาดุจ้องคนที่เดินไม่ระวัง
“ฉันไม่เป็นไร แล้วคุณล่ะคะ เป็นอะไรไหม” เสียงอีกฝ่ายหวานและเพราะมาก ดูจากการแต่งตัวคงเป็นลูกคนมีเงิน และมีอิทธิพลด้วย เพราะด้านหลังมีผู้ชายสองคนยืนประกบอยู่
“ไม่ค่ะ ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันระวัง” บอกเสียงอ่อน
“คงเป็นพวกบ้านนอกที่หลงเข้ามาสิท่า ดูแต่งตัวเข้าสิ ทุกวันนี้เขาไม่ใสแล้วนะ กางเกงขายาวกับเสื้อแขนยาวติดกระดุมจนถึงคอน่ะ มันดูเชยไปแล้วไม่รู้เหรอ” สาวสวยอีกคนพูดขึ้นเสียงหยัน พร้อมกับใช้สายตาเหยียดมองคนตรงหน้าด้วย
“นี่คุณฉันเดินชนก็รู้ว่าตัวเองผิดถึงได้ขอโทษ แต่การที่คุณดูถูกคนอื่นมันต่างจากคนเสียมารยาทตรงไหน คนเรามีมือมีเท้าเท่ากันก็นับว่าเป็นคนเหมือนกัน อย่าคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่นสิ หรือว่าด้านหลังมีหางเลยล้ำค่ากว่าคนทั่วไป” ในเมื่อพูดจาดีดีด้วยแต่อีกฝ่ายกลับคิดหาเรื่อง เธอก็ไม่คิดจะอยู่เฉย
เจียวหมี่รีบตรงเข้ามายืนข้างกันพร้อมกับจางเป่า เธอมัวแต่ดูเสื้อผ้าและจ่ายเงิน มองเห็นเพื่อนเดินมาทางนี้ก็ปล่อยให้ดูของไป คิดไม่ถึงว่าจะมาเกิดเรื่องทะเลาะกันตรงนี้ได้
“นี่แก! ว่าฉันเป็นหมาเหรอ”
“เอ้า! สัตว์มีขนน่ารักเยอะแยะทำไมไม่เลือก อันนี้คุณเลือกเองนะคะ จะมาโทษฉันไม่ได้นะ” เธอยังคงย้อนคำได้เจ็บแสบเหมือนเดิม และมันก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงกับปรี๊ดแตก
“กริ๊ด!! แก จับตัวมันไว้ ฉันจะตบมัน” ร้องสั่งผู้ชายด้านหลัง
“หยุด! ที่นี่ที่ไหนไม่ดูบ้างเหรอ เป็นบ้าอะไรถึงได้มาระรานคนอื่นแบบนี้ห๊ะ! เจียงอวี้ ถ้าพ่อเธอรู้เขาเอาตายแน่” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะ ทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองต้องถอยกลับไปยืนที่เดิม พร้อมกันนั้นก็โค้งให้คนที่มาใหม่ด้วย
“พี่ใหญ่” สาวสวยที่เดินชนกับจินผิงเรียก
“ฉันยืนมองอยู่นานแล้ว ผู้หญิงคนนี้ขอโทษถึงสองครั้ง คนถูกชนก็ไม่ได้ว่าอะไร มีแต่เธอนั่นแหละที่สร้างปัญหา”
“แต่มันว่าฉันเป็นหมานะม่านชิง”
“แล้วไง เธอมีหางเหรอถึงต้องดิ้นขนาดนี้” คนมาใหม่ยังคงไม่เข้าข้าง เพราะการกระทำของเพื่อนคนนี้มันไม่น่ารักจริง ๆ
จินผิงยืนอมยิ้มชอบใจเมื่อเห็นหน้าหงอยของคนที่ดูถูกเธอ พอคนมาใหม่หันกลับมา เธอก็ยืนนิ่งเมื่อเห็นหน้าตาชัดเจน
“ขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วยนะ เขาปากไวไปหน่อย” หันกลับมาพูดกับคนที่ยืนมองอยู่ “มีอะไรเหรอ มองฉันขนาดนี้” แววตาของม่านชิงหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องหน้าเธอเขม็ง ทำราวกับว่าทั้งคู่เคยพบกันที่ไหนมาก่อน
#อยู่ดีดีก็มีคนอยากเป็นหมา 555