7. การตลาดเริ่มมา
ทั้งสี่หันมาจ้องหน้าจินผิงสื่อความหมาย และเธอก็พอจะมองออกว่าพวกเขาต้องการอะไร “หมดแล้ว อยากกินก็รอวันหน้าแล้วกัน คิดว่าพรุ่งนี้เจียวหมี่น่าจะออกไปขายได้ล่ะมั้ง”
“เธอทำน้ำซุปไหวเหรอ” ถามอย่างไม่แน่ใจ
“ไหวสิ เดี๋ยวตอนเย็นไปซื้อเนื้อมาหมักไว้เลย ตื่นเช้าหน่อยจะได้ต้มให้มันเปื่อย ยิ่งเปื่อยยิ่งอร่อย” พูดพร้อมกับตบมือลงบนหลังมือเจียวหมี่ เผยยิ้มบ้างให้ด้วย ซึ่งการกระทำทั้งหมดมันอยู่ในสายตาของคนทั้งสี่ โดยเฉพาะโจเยว่ นึกไม่ถึงว่าเธอจะทำอาหารอร่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่อายุยังน้อยอยู่เลย
“แน่ใจนะว่าพรุ่งนี้เธอจะขาย ว่าแต่ชามละหนึ่งหยวนเหมือนวันนี้ไหม ถ้าขายแพงขนาดนั้นฉันคงมาอุดหนุนทุกวันไม่ได้หรอกนะ” ต่วนหลี่พูดขึ้นอาย ๆ เงินเดือนตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างเขาได้รับเมตตาจากท่านนายพลให้คอยดูแลคุณชายรองด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าตำรวจคนอื่นก็จริง แต่มันก็ไม่ได้มากมายจนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้ บะหมี่ชามละหยวนยังไงก็แพงเกินไป
“ชามละสองเฟิน เหมาะสมกับรสชาติไหมล่ะ”
“ฉันว่ามันถูกไปนะ สักสามเฟินน่าจะดีกว่า เอาล่ะไปกันได้แล้ว มัวแต่นอกเรื่องอยู่ได้” ต่อว่ากลบเกลื่อนประโยคที่ตัวเองออกความคิดเห็นเมื่อกี๊นี้ ทว่ายังไม่ทันขยับลุกยืนเลย เสียงด้านนอกก็ทำให้พวกเขาต้องรีบออกไปดู รวมถึงเจ้าของบ้านด้วย
“เกิดอะไรขึ้นพี่หย่งชุน” เจียวหมี่รีบถามเพื่อนบ้านที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ซอยนี้บ้านเรือนจะอยู่ติดกันกั้นด้วยกำแพงสูงหนึ่งเมตร ตัวซอยจะกว้างขนาดรถยนต์สวนกันได้ และยาวไปเป็นกิโลจนกระทั่งโผล่ไปที่ถนนใหญ่ของเมืองทั้งสองด้าน เวลามีเรื่องอะไรทุกคนก็จะออกมารวมตัวพูดคุยกันแบบนี้
หย่งชุนรีบเดินข้ามมา เมื่อเห็นที่บ้านของพวกเธอมีชายหนุ่มอยู่ด้วย “เห็นว่ามีคนผูกคอตายทางทิศเหนือ ตำรวจทหารมากันเยอะแยะเลย ไม่รู้ใครที่คิดสั้นแบบนี้” พูดจบก็ขยับมายืนข้าง จินผิง มองคนทั้งสี่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
“ไม่ใช่คนแถวนี้นะ ข้าไปดูมาแล้ว เป็นผู้ชายตัวสูงไว้หนวด” ป้าถังผู้รอบรู้ที่สุดในซอยเอ่ยขึ้น ซึ่งมันทำให้คนทั้งสี่ต้องรีบตรงไปดูที่เกิดเหตุ ส่วนจินผิงนั้นเดินกลับเข้าบ้านมาแล้ว เธอไม่อยากเห็นหรือได้ยินอะไรแบบนี้ นึกแล้วมันใจหาย คิดถึงภาพตัวเองตอนที่ใกล้จะหมดลมหายใจ มันทรมานมากจริง ๆ
แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นต้องอยากตายด้วย คนเรากว่าจะเกิดมาและโตขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อยู่ดีดีก็คิดสั้นซะงั้น
“เป็นไร ทำไมหน้าซีดจัง เหนื่อยเหรอ” เจียวหมี่เดินเข้ามาประคอง จางเป่าก็กลับมาจากไปเล่นกับเพื่อนพอดี
“เปล่า แค่ได้ยินเรื่องพวกนี้แล้วฉันอดคิดถึงตัวเองไม่ได้หน่ะ”
“พี่จินผิงกลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวนะผมขอยันต์มาให้แล้ว”
เด็กน้อยแบมือให้พี่สาวทั้งสองคนดู กระดาษสีเหลืองถูกพับเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมถูกส่งให้ทั้งคู่คนละอัน
“น่ารักจริง ๆ” จินผิงบีบแก้มป่องของน้องชายคนละสายเลือด “มาพี่ทำบะหมี่ไว้ให้ เดี๋ยวเอามาให้ชิมนะ”
“อะไรนะ พี่ทำบะหมี่เหรอ มันจะกินได้หรือนั่น” พูดอย่างที่คิด และมันก็ทำให้คนที่กำลังจะก้าวเดินถึงกับค้อนขวับทันที
“ชิ! อย่ามาร้องไห้ให้ทำอีกก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินสะบัดหน้าออกไปจากห้องโถงตรงไปยังครัวเพื่อเตรียมอย่างที่บอก
“นี่จางเป่า อย่าดูถูกพี่จินผิงนะ รู้ไหมวันนี้พี่เขาขายบะหมี่ได้ชามละหยวนเลยนะ ที่สำคัญคือขายได้สี่ชาม แล้วก็มีพิเศษมาอีกหนึ่งหยวน เท่ากับห้าหยวนเลยนะวันนี้”
“จริงเหรอพี่ ใครมันโง่มากินบะหมี่ชามละหยวนกัน ผมอยากเห็นหน้าจิง ๆ” เด็กชายพูดขึ้นเสียงดัง
“อย่าไปพูดให้ใครได้ยินนะ รู้ถึงหูเขาเราโดนเชือดแน่” คนที่หายไปเมื่อครู่กลับเข้ามาพร้อมกับพูดเตือนน้องชาย
ในมือเธอถือถาดซึ่งมีชามบะหมี่สองใบมาด้วย เจียวหมี่รีบตรงมาช่วยพร้อมกับถามขึ้น “ของเธอล่ะ”
“ฉันกินไปก่อนหน้าคนพวกนั้นจะมาแล้วล่ะ พอดีหิวมาก” บอกแล้วก็ยิ้มแป้นใส่ จากนั้นทั้งสามก็นั่งลง
“มันแดงขนาดนี้ไม่เผ็ดแย่เหรอครับ”
“ไม่หรอก ชิมดูก่อน” บอกไม่ต่างจากตอนที่เอ่ยกับโจเยว่ นึกแล้วก็อดขำท่าทางเขาไม่ได้ สายตาอาวรณ์ชามบะหมี่มันดูเหมือนเด็กกำลังอ้อนวอนขอเงินแม่ซื้อของที่อยากกินเลย
“โอ้โห! แน่ใจนะว่าพี่ทำ” ร้องอย่างไม่เชื่อ เจียวหมี่เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เพียงแต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ จะกินหรือไม่กิน” ทำท่าดึงชาม
“กินสิพี่ ลาภปากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่พี่จินผิงจะทำอาหารให้กิน” ดันมืออีกฝ่ายไว้ จากนั้นก็ใช้ตะเกียบคีบเส้นสูดกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาพูดอีกเลยจนกระทั่งหมดถ้วย ไม่เหลือแม้แต่น้ำซุป
“เธอทำอร่อยมากเลยจินผิง” เจียวหมี่ชม ถ้าให้พูดจริง ๆ ก็คือไม่เคยกินบะหมี่ที่ไหนรสชาติน้ำซุปกลมกล่อมขนาดนี้มาก่อนนั่นแหละเส้นก็เหนียวนุ่มกำลังดี
“คิดว่าเราจะขายได้ไหม” ถามความคิดเห็น อันที่จริงเธอก็รู้แหละว่ามันต้องได้แน่ แค่อยากถามคนที่อยู่ในยุคนี้ดูก่อน รสชาติแบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะชอบ เธอแค่หวังว่ามันจะถูกปากคนส่วนมากเท่านั้น อย่างน้อยลงมือทำเมื่อไหร่จะได้ไม่ขาดทุน
“ได้สิ มณฑลหูหนานส่วนมากจะมีแต่คนกินเผ็ดและรสชาตินี้ทั้งนั้น เธอก็แค่แยกน้ำซุปสำหรับคนที่กินเผ็ดไม่ได้มาด้วย แค่นี้ก็จบปัญหาแล้วล่ะ” เจียวหมี่มีท่าทางกระตือรือร้นมาก แต่ก่อนเธอต้องทำทุกอย่างเอง ส่วนลู่จินผิงน่ะเหรอ แค่ลุกขึ้นมาแต่งตัวออกไปยืนเรีกแขกกับเดินยกชามบะหมี่เท่านั้น
ทว่าตอนนี้เพื่อนสนิทกลับอาสาทำบะหมี่ให้ และจินผิงยังทำอร่อยมากด้วย คาดว่าวันหน้าต้องขายดีกว่าแต่ก่อนแน่ ๆ หวังว่าพวกเธอจะได้ลืมตาอ้าปากจริง ๆ ซักที หลังจากลำบากลำบนกันมานาน ตั้งแต่พ่อแม่เสียไปเมื่อห้าปีก่อนในช่วงปฎิวัติ
“แต่พรุ่งนี้เราจะขายแค่หนึ่งเฟิงก่อนนะ ฉันอยากให้ผู้คนรู้จักก่อน ทีแรกกะจะแจกฟรี แต่เราไม่มีทุนสำรอง เพราะฉะนั้นขายพอให้มีเงินมาซื้อของในวันต่อไปก่อน ฉันเชื่อว่าใครได้ชิมแล้วจะต้องกลับมาอีกแน่” อธิบายให้เพื่อนฟัง ซึ่งมันก็ทำให้อีกฝ่ายอึ้งไปอีกแล้ว วันนี้จินผิงทำให้เจียวหมี่คาดไม่ถึงหลายอย่าง
ทว่ามันเป็นแบบนี้ก็ดีไม่ใช่เหรอ ที่เพื่อนสนิทเปลี่ยนไปในทางที่ดี ไม่เห็นแก่ตัวเอาแต่ใจเหมือนก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเคยช่วยชีวิตจางเป่าเอาไว้ตอนเกิดปฎิวัติ เจียวหมี่ก็คงไม่ยอมจินผิงถึงขนาดนี้หรอก
“แล้วแต่เธอเลย ถ้างั้นจดรายการของให้ฉันที จะได้ออกไปซื้อมาเตรียมไว้” เดินไปหยิบกระดาษและดินสอมาให้ ดีที่ทั้งคู่ยังได้เรียนมาบ้างในช่วงเด็ก แต่ก็แค่อ่านออกเขียนได้นิดหน่อยเท่านั้น อันที่จริงวัยของเธอทั้งคู่ควรได้อยู่ในโรงเรียน ไม่ก็มีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่เผอิญทั้งสองเสียครอบครัวไปพร้อมกัน เลยตัดสินใจมาเช่าบ้านอยู่ในเมือง อย่างน้อยก็ยังหางานทำได้ และในที่สุดก็มีร้านบะหมี่เล็ก ๆ หน้าปากซอย แต่ก็ใช่ว่าจะขายดี
“ฉันไม่รู้ว่าราคาของมันถูกแพงยังไง เธอก็พิจารณาเอาแล้วกันนะ อย่าซื้อจนเงินหมดล่ะเผื่อเราขายไม่ได้ด้วย ไม่ประมาทน่าจะดีกว่า” ยื่นแผ่นกระดาษส่งให้
อีกคนก็รับมาแล้วก็ยิ้มกับความรอบคอบของเพื่อน แต่พอก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือก็ขมวดคิ้วอีกแล้ว ‘ทำไมลายมือจินผิงสวยจัง ไม่เหมือนเมื่อก่อนด้วย’ เธอนึกในใจแต่ไม่กล้าถาม
“งั้นฉันไปก่อนนะ จางเป่าจะไปกับพี่ไหม” ตะโกนถามน้องชายที่เข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องนานแล้ว
“ไม่ไปใครจะช่วยหิ้วของพี่หล่ะ” บอกอย่างเอาใจ
“งั้นเราไปนะ เธอก็นอนพักเถอะ จะได้หายเร็ว ๆ” ยกมือขึ้นลูบไหล่เพื่อนแล้วเดินออกไป จินผิงมองตามสองพี่น้องแล้วก็ยิ้มอ่อน ในโลกแห่งความเป็นจริงเธอเป็นลูกคนเดียว เลยต้องใช้เงินซื้อเพื่อนให้มาอยู่รอบตัว ต่างจากที่นี่ที่มีเพื่อนแต่ไม่มีพ่อแม่
ใครคือคนลิขิตเรื่องนี้กันนะ
#คุณชายเขาไม่ได้โง่นะจางเป่า เขาแค่รวย 555