6.บะหมี่แสนแพง
สี่หนุ่มรุ่นราวเดียวกันหันขวับมาที่ร่างเล็กทางด้านหลังทันที เมื่อครู่พวกเขามัวแต่ชะโงกหน้าเข้าไปสูดดมกลิ่นน้ำซุปที่ลอยมา เลยลืมไปว่ากำลังมาตามจับคนน่าสงสัย
“นะ…นี่บ้านเธอเหรอ” ตวนหลี่ยิ้มหน้าบาน ก่อนนั้นเขามาวนเวียนมาซอยนี้รอบหนึ่งแล้ว ทว่าไม่เห็นร้านบะหมี่ที่ว่าเลย
“ใช่ค่ะ พวกคุณมาทวงเงินเหรอคะ คือเรายังไม่มีจริง ๆ ช่วยผลัดผ่อนให้ก่อนได้ไหม” เจียวหมี่โค้งลงจนตัวเสมอเอว ทำเอาชายหนุ่มทั้งสี่ถึงกับทำตัวไม่ถูก พวกเขาไม่ได้มีเจตนาอย่างที่เธอพูดสักนิด แค่ผ่านทางมาในซอยเล็ก ๆ นี่เท่านั้น
ในขณะนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออก “พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ มาทวงเงินเหรอ” ประโยคคำถามไม่ได้ต่างกันเลย แต่นั้นไม่ได้ทำให้ทั้งสี่หนุ่มสนใจเท่ากับกลิ่นของน้ำซุปที่กำลังโชยมาเตะจมูก
โดยเฉพาะจ้าวเหว่ยที่หิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย ออกตามล่าตัวผู้ต้องสงสัยตั้งแต่ฝั่งเหนือของเมือง ยาวมาจนถึงทางใต้นี่แหละ
พอได้กลิ่นยั่วน้ำลายใครมันจะไปอดใจไหว
“เธอทำอะไรหอมจัง ขายไหม” หันกลับมาถามเจ้าของบ้านที่ยืนผูกคิ้วเป็นปมทันที มองเขาอย่างกับตัวประหลาด
‘คนบ้าอะไรเดินเข้าบ้านคนอื่นแล้วมาถามว่าขายอาหารไหม บ้านตัวเองไม่มีกินหรือไง’ นึกต่อว่าในใจ ถ้าเป็นคนอื่นเธอด่าต่อหน้าไปแล้ว เห็นแก่ที่พวกเขาเคยช่วยเอาไว้หรอกเลยไม่พูด
“ทำกินเองไม่ได้ขาย อีกสองสามวันค่อยมากินแล้วกันนะ พอดีฉันแค่ทดลองฝีมือ เครื่องปรุงยังไม่ครบ มันอาจจะไม่อร่อย” บอกไปตามจริง และมันก็เป็นการหาลูกค้าเผื่อไว้ด้วย
“ฉันหิวจริง ๆ เธอขายให้หน่อยเถอะนะ ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย กว่าจะเดินออกไปพ้นซอยคงเป็นลมพอดี” พูดจาน่าสงสารจนจินผิงถึงกับมองบน แต่จู่ ๆ เธอก็ปิ๊งความคิดขึ้นมา
“ก็ได้ แล้วจะกินกันทุกคนหรือเปล่าล่ะ” หันมาหาสามหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างนอก พวกเขายังไม่มีใครก้าวเข้ามา
“คุณชายว่ายังไงครับ” ตวนหลี่หันมาถามเจ้านาย ใจเขาก็อยากเออออห่อหมกไปกับเพื่อนนั่นแหละ เพราะกลิ่นที่โชยมามันเตะจมูกจนต้องกลืนน้ำลายไปหลายรอบแล้ว
“อาหารของเธอสะอาดหรือเปล่า” กลิ่นมันก็ยั่วน้ำลายอยู่หรอก แต่การทำไม่รู้มันจะมีคุณภาพแค่ไหน
“ฉันดูเหมือนคนสกปรกงั้นเหรอ” ตอบกลับไปโดยไม่รู้เลยว่าหน้าตาตัวเองมันมอมแมมแค่ไหน หน้าก็มีแต่คราบแป้ง และรอยดำจากการเป่าไฟเพราะควันล่นหน้า จากที่มีรอยเขียวช้ำ มันก็เพิ่มสีสันเพิ่มเติมเข้าไปอีก ตอนนี้จินผิงดูไม่ต่างจากนักแสดงในคณะงิ้วที่เอาสีมาแต้มหน้าเป็นจุด ๆ เลย
“จินผิงใจเย็น หน้าเธอมันดูไม่ได้จริง ๆ” เจียวหมี่เดินเข้ามากระซิบบอก เปลือกตาเขียวช้ำกะพริบถี่ทันที
“จริงเหรอ?” รีบถามทันที อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้แล้วยิ้มแหย
“ช่างเถอะ ใครจะกินก็จ่ายมาชามละหนึ่งหยวน พอดีบะหมี่นี้มันคือสูตรลับที่ฉันพึ่งทำเป็นครั้งแรก พวกคุณได้ชิมถือว่าเป็นบุญมากเลยนะ แต่ถ้าไม่ก็ออกไปซะ” แบมือไปด้านหน้า พร้อมกับยิ้มแป้นส่งให้พวกเขา แต่มันไม่ได้น่าดูเลยสักนิด
“หนึ่งหยวน กินแล้วมันจะเหาะได้เหรอบะหมี่เธอ นั่นมันเบี้ยเลี้ยงฉันสองวันเลยนะ” จ้าวเหว่ยเดินย้อนกลับมาที่หน้าประตู มองคนหน้าเลือดไม่วางตา ไม่นึกเลยว่าเธอจะกล้าคิดเงินกับผู้มีพระคุณขนาดนี้ คนอื่นเขามีแต่จะให้กินฟรีเพื่อตอบแทน
“เบี้ยเลี้ยงคุณสองวันหนึ่งหยวน แต่เราขายบะหมี่อย่างน้อยก็ได้สี่หยวนต่อวัน ถ้าฉันไม่เสนอหน้าไปช่วยเจ้านายพวกคุณ เราก็ไม่ต้องเอาเงินเก็บไปจ่ายค่าโรงพยาบาล และหน้าฉันก็ไม่ต้องพัง คิดสิ ถ้ายานั้นเป็นยาพิษ เจ้านายคุณจะได้มายืนตรงนี้ไหม”
ประโยคคำพูดของจินผิงมันแทงใจดำมู่โจเยว่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะใบหน้าที่เธอใช้นิ้วจิ้มลงหลาย ๆ ทีนี้ด้วย ยิ่งมองก็ยิ่งหดหู่ โลกก็ช่างหมุนให้พวกเขาได้เจอกันเร็วเหลือเกิน รอให้เธอหายดีก่อนก็ไม่ได้ ถึงเรื่องมันจะยังไม่กระจ่างชัด แต่เท่าที่สืบมามันก็ตรงตามที่เธอคนนี้พูดเกือบทุกอย่าง และวันนี้พวกเขาก็กำลังตามบริกรหนุ่มที่คาดว่าเป็นคนวางยาเขานั่นแหละ
“ก็ได้ บะหมี่สี่ชามไปเอามา” ก็แค่เงินสี่หยวนเขาจะถือว่าทำทานก็แล้วกัน ถ้าให้เดินออกไปหาอะไรกินคงได้แสบท้องตายอย่างจ้าวเหว่ยว่า ที่สำคัญพวกเขายังต้องตามหาคนอีก อย่างน้อยหาอะไรกินรองท้องสักนิดก่อนก็ยังดี
“จ่ายมาก่อนสิ” แบมือใส่หน้าเขา
“นอกจากจะหน้าเขียวช้ำแล้วยังหน้าเลือดอีกนะเธอ เอา! ฉันทิปให้อีกหนึ่งหยวน เธอจะได้เอาไปซื้อเครื่องสำอางมาโป๊ะหน้าให้มันหนาขึ้นอีก” มือใหญ่วางประกบลงบนฝ่ามือเล็กพร้อมกับเงินที่เขาล้วงออกมาจ่ายแทนลูกน้องด้วย
“ขอบคุณนะคะคุณชายมู่ เชิญหาที่นั่งกันตามสบายเลยนะ อีกสักครู่อาหารจะถูกยกออกมาบริการทุกคนค่ะ” เธอยิ้มแป้นใส่คนตัวโตอีกหน ก่อนจะเดินเข้าครัวไปอย่างอารมณ์ดี โดยมีเจียวหมี่วิ่งตามด้วยอาการตื่นตกใจ
สองเท้าหยุดชะงักลงเมื่อได้กลิ่นหอมบนหม้อที่กำลังเดือดเบา ๆ “นี่มัน” เธอเดินเข้ามาหยุดมองหม้อด้วยความสงสัย
“ก็สูตรบะหมี่ที่ฉันบอกเธอไง เสียดายที่มีเนื้อไม่เยอะ แต่ไม่เป็นไร เก็บห้าหยวนนี้ไว้ พรุ่งนี้เราจะซื้อเครื่องปรุงให้ครบแล้วทำขาย จากห้าหยวนมันจะต้องเพิ่มเป็นสิบ ยี่สิบและร้อย พันในที่สุด ต่อไปเราจะกลายเป็นเศรษฐีรู้ไหมเจียวหมี่”
“เอาวันนี้ให้รอดก่อนดีกว่านะ ไม่รู้จะถูกปากพวกเขาไหม”
“ถ้ากินทางปากมันก็ต้องถูกอยู่แล้ว เว้นแต่จะกินทางอื่น” ตอบกวนไปอีก ซึ่งนิสัยแบบนี้จินผิงไม่เคยทำ คนฟังเลยได้แต่นิ่งอึ้ง และมันก็มีให้สงสัยหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเพื่อนสนิทที่คบกันมานับสิบปี ไม่เคยลงมือทำอาหารเลยสักครั้งแล้วนี่มันอะไรกัน
ท่าทางคล่องแคล่วของจินผิง มันไม่น่าจะใช่เธอเลย หั่นเนื้อได้เร็ว ลวกเส้นก็พอดีกิน จัดแจงแต่งหน้าชามบะหมี่ซะน่ากินเชียว สีสันทุกอย่างตัดกันอย่างลงตัว
“เสร็จแล้ว ที่เหลือเก็บไว้ให้เธอกับจางเป่าชิมแล้วกัน”
“เธอทำได้ยังไง” มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริง ๆ
“เอาน่ายกไปให้พวกเขาก่อน เดี๋ยวเอาเงินคืนจะยุ่ง” พูดจบก็เดินนำออกไป กลิ่นหอมของบะหมี่ยังคงคละคลุ้งยั่วน้ำลาย พอวางลงบนแคร่ไม้ไผ่ทั้งสี่ก็มองไม่กะพริบตา
“มันเผ็ดหรือเปล่า” เจียหยางรีบถาม เพราะเจ้านายเขาคงกินไม่ได้ถ้าหากเผ็ดมากจนเกินไป
“ไม่หรอก ลองชิมดูก่อนก็ได้” บอกแล้วก็มองหน้าคนตัวโตที่เอาแต่จ้องชามบะหมี่ ส่วนลูกน้องยกชามขึ้นเตรียมตัวกินแล้ว
“ก็ลองดูสักคำสิ คุณไม่ลองจะรู้ได้ไงว่ารสชาติจะไปทิศทางไหน ถ้าไม่ไหวน้ำก็มี” บอกอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินไปลากตั่งตัวน้อยมานั่งมองคนทั่งสี่ โดยมีเจียวหมี่ยืนอยู่ข้างกัน
จ้าวเหว่ยไม่รออะไรแล้ว เป่าเส้นที่ม้วนขึ้นมาได้ก็ยัดใส่ปากทันที ตามมาด้วยต่วนหลี่ที่หิวพอกัน แล้วทั้งคู่ก็นิ่งไปพักหนึ่ง
“ไม่ได้งั้นเหรอ” เจียหยางถามเพื่อน ทั้งคู่ส่ายหัวเป็นคำตอบ พาให้คนที่ยังไม่ได้ชิมเข้าใจว่ามันไม่อร่อย ทำให้ต้องวางชามลง
“กินเลยครับคุณชาย มันอร่อยมาก อร่อยจริง ๆ” ต่วนหลี่พูดก่อนจะก้มลงกินต่อโดยไม่สนใจใครเลย
“อะไรของนาย แล้วเมื่อกี๊ส่ายหัวทำไม” เจียหยางต่อว่าทันที
“ลอง นายต้องลอง คุณชายชิมครับ สักคำก็ได้” จ้าวเหว่ยขะยั้นขะยอ ก่อนจะหันมากินต่อเหมือนกัน
“กินไปเถอะน่า พวกคุณมีธุระต่อไม่ใช่เหรอ” จินผิงเตือน เธอผายมือให้กับคนที่กำลังลังเล สุดท้ายก็ทนต่อความหิวไม่ไหว
โจเยว่ตัดสินใจใช้ช้อนตักน้ำซุปชิมก่อน ทว่ามันไม่พอต้องขออีกรอบเพื่อให้แน่ใจ ความรู้สึกแรกคือ รสชาติน้ำซุปมันกลมกล่อมละมุนลิ้นเป็นอย่างมาก ไม่หวาน ไม่เผ็ดเกินไป แม้ว่าสีสันมันจะชวนให้แสบท้องก็เถอะ แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“ต่อสิ” จินผิงผายมือให้เขา เจียวหมี่มองท่าทางเพื่อนสนิทก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก ดูไม่เหมือนหญิงสาวอายุสิบเจ็ดเลย
ลู่จินผิงในตอนนี้ ดูใจเย็นสุขุม เจ้าแผนการณ์ ต่างจากเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น
ด้านโจเยว่ เขาเริ่มจับตะเกียบคีบเส้นสีเขียวมรกตใส่ปาก เหมือนมันจะมีกลิ่นหอมติดมาด้วย ตอนเคี้ยวก็หนุบหนึบแต่ไม่ได้เหนียวอะไรมาก มันต่างจากเส้นบะหมี่ทั่วไปจนเขากินหมดไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว รวมถึงน้ำซุปในชามด้วย
10 เฟิน = 1 หยวน
สมัยนั้นจักรยานคันละ 150-200 หยวน ใครมีก็ถือว่ารวย
ค่าแรงคนงานโรงงาน 25-40 หยวน ต่อเดือน
ข้าราชการประมาณ 100+ หยวน
เนื้อหาตรงนี้มีทั้งสมมติและอ้างอิงมาจากการค้นหาส่วนหนึ่ง อาจดูไม่สมเหตุสมผล ยังไงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ