บท
ตั้งค่า

5.อยู่เฉยเดี๋ยวอดตาย

จินผิงมองหน้าอีกฝ่ายที่นิ่งจนผิดสังเกต “มีอะไรเหรอ” ย่นคิ้วเข้าหากัน มองเพื่อนคนใหม่อย่างไม่เข้าใจ

“จินผิงเธอพอจะบอกได้ไหมว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น ตำรวจมาสอบถามเรื่องนี้สองสามรอบแล้ว แต่ก็มาช่วงที่เธอไม่ได้สติทุกที ฉันก็ไม่รู้จะบอกยังไง” นึกได้เลยรีบถาม หวังว่าคนตรงหน้าจะอธิบายได้ ทำไมจินผิงถึงถูกทำร้ายปางตายอยู่ในตรอก

“ฉันไม่เข้าใจ เพราะเธอบอกว่าคุณชายมู่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ เขามาเกี่ยวอะไรด้วย” พอมีโอกาสก็ต้องรีบถาม ตอนนี้ก็อยู่กันแค่สองคนด้วย ถ้าน้องชายเธอกลับมาคงพูดไม่ได้

จางเป่ายังเด็ก ไม่ควรต้องรับรู้อะไรแบบนี้

จินผิงนิ่งไปพักหนึ่ง เธอกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์อยู่ ไม่รู้จะบอกอีกฝ่ายยังไง สุดท้ายก็เล่าไปตามเนื้อเรื่องที่อ่านมาให้ฟัง

“งานเลี้ยงคืนนั้น ฉันเห็นคนใส่ยาบางอย่างลงไปในแก้วไวน์แล้วเอาไปให้คุณชายมู่ เลยแกล้งเดินชนเขาจนแก้วตกแตก จากนั้นก็รีบหนีออกมา กะจะกลับเข้าครัวนั่นแหละ แต่เผอิญถูกจับได้ซะก่อน ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นยาอะไร มารู้ว่าเป็นยาปลุกอารมณ์ตอนที่โดนจับไปนั่นแหละ พวกมันพาฉันไปซ้อมที่ตรอกจนปางตาย และกรอกยาพิษ นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะรอดมาได้” บอกไปตามเนื้อเรื่องที่อ่านมา แต่ช่วงสุดท้ายเธอพูดออกมาเอง จะได้ไม่เป็นที่สังเกตนัก เพราะกลัวเพื่อนจะสงสัย

ส่วนที่เหลือเธอก็ไม่รู้อะไรนอกจากนี้แล้ว จะเปิดดูนิยายที่ได้ติดมาด้วยมันก็เปื่อยยุ่ยจนตัวอักษรไหลคละกันไปหมด เหมือนกับว่ามันถูกเขียนขึ้นมาจากพู่กัน ไม่ใช่การตีพิมพ์เหมือนหนังสือที่เคยเห็นมา ต่อให้มันเปียกน้ำก็ไม่มีทางที่ตัวอักษรจะละลายได้ กลายเป็นว่าเรื่องราวต่อจากนี้ลู่จินผิงไม่รู้เลย

“จะ จริงเหรอ แล้วแบบนี้ชีวิตเธอจะปลอดภัยไหม”

จินผิงมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง เธอเองก็นึกถึงเรื่องนี้เหมือนกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครตามหา “อย่าห่วงเลย คนกลุ่มนั้นต้องคิดว่าฉันตายแล้วจริง ๆ นั่นแหละ ไม่งั้นคงส่งคนมาเอาชีวิตอีกรอบแล้ว” บอกให้เพื่อนเบาใจ เจียวหมี่คงกังวลมากแน่ สีหน้าท่าทางและแววตาออกมาหมด ตั้งแต่ได้ยินเรื่องราว

“แน่ใจเหรอ ยังไงเธอก็ต้องระวังตัวนะ”

“จ้า รู้แล้ว ว่าแต่เงินเก็บเราเหลือเท่าไหร่ แล้วค่าเช่าบ้านแพงไหม ปกติขายบะหมี่มีรายได้กี่หยวนเหรอ” จินผิงหันมาถามถึงการใช้ชีวิตในยุคนี้ ถ้าเกิดใหม่ในร่างของคุณหนูผู้ร่ำรวยสักคนก็คงดี จะได้ไม่ต้องพะวงกับเรื่องเงินนัก

ลู่จินผิงคนนี้ไม่มีทางยอมเป็นคนจนไปชั่วชีวิตหรอก

“เธอถามถึงเรื่องนี้ทำไมเหรอ” แววตาเจียวหมี่บ่งบอกถึงความกังวลบางอย่าง เพื่อนสนิทเป็นคนรักสวยรักงาม มักจะเอาเงินไปซื้อเครื่องสำอางหรือเสื้อผ้าอยู่เสมอ

หน้าตาเป็นแบบนี้ต้องอยากได้เงินไปซื้อครีมบำรุงแน่

“ค่าเช่าบ้านหลังนี้สิบหยวนต่อเดือน อีกสิบวันเราก็ต้องจ่ายแล้ว แต่ตอนนี้เงินที่เก็บเอาไว้มีแค่สี่หยวนเท่านั้น” แววตาเธอหม่นลงเมื่อพูดจบ กลัวคำตอบจากอีกฝ่าย ถ้าจินผิงขอเงินนี้ไปซื้อของใช้ส่วนตัว เธอจะปฎิเสธได้ไหมนะ

คนฟังถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินเรื่องที่มันอนาทขนาดนี้ เหลือเงินแค่สี่หยวนงั้นเหรอ

“ปกติเราขายบะหมี่ได้วันละเท่าไหร่” ถามเสียงเบา ในใจก็กลัวคำตอบที่จะได้ยินหลังจากนี้

“วันหนึ่งขายได้เต็มที่ก็หนึ่งถึงสองหยวน แต่มันก็ยากอยู่เหมือนกัน เพราะตอนนี้เริ่มมีร้านบะหมี่เปิดใหม่หลายแห่ง ทำให้กิจการเล็ก ๆ ของเราไม่มีใครสนใจ ยิ่งปิดไปหลายวันแบบนี้ด้วย ลูกค้าคงหายไปหมดแล้ว” เจียวหมี่ก้มหน้าซ่อนแววตาเศร้าเอาไว้ ตลอดหลายวันมานี้เธอเหนื่อยมากจริง ๆ เก็บของที่โรงแรมคนเดียว เสร็จแล้วก็ต้องกลับมาเฝ้าจินผิง

ต่อมาก็เป็นปัญหาเรื่องเงิน ซึ่งมันทำให้เธอคิดหนักมาก เรียกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับเอาซะเลย

“แย่ขนาดนี้เชียว ขายได้วันละหนึ่งถึงสองหยวนแล้วเมื่อไหร่เราจะรวยล่ะเนี่ยะ” บ่นออกมาเสียงดังก่อนจะแนบหน้าลงกับพื้นโต๊ะไม้เก่า ๆ กลางห้องที่พวกเธอนั่งอยู่ แต่ไม่ถึงนาทีก็เด้งขึ้นอีก

“ไม่ได้สิ เราต้องหาอย่างอื่นขาย ต้องลองอะไรที่มันแปลกใหม่ คนถึงจะหันมาสนใจร้านเรา” บอกอย่างกระตือรือร้น

เจียวหมี่มองหน้าเพื่อนพร้อมกับย่นคิ้วเข้าหากัน ปกติเป็นเธอมากกว่าที่หาเงินและทำบะหมี่ขาย จินผิงก็แค่แต่งตัวสวย ๆ ออกไปช่วยบริการลูกค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

จานชามก็เป็นจางเป่าจัดการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือร้านบะหมี่ที่อยู่หน้าปากซอย หาเงินมาได้ก็แบ่งออกเป็นสามส่วน หลังจากหักค่าบ้านและข้าวของเครื่องใช้เรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อครู่ลู่จินผิงกลับบอกให้หาแนวทางค้าขายใหม่ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยลงมืออย่างจินผิง

“ทำไมมองหน้าฉันแบบนี้ล่ะ” อดไม่ได้เลยต้องถามออกไป เพราะสีหน้าท่าทางของเจียวหมี่ดูไม่เชื่อคำพูดของเธอเลย

“เมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้” บอกเสียงเบา

“หมายความว่าไง ปกติเราก็ออกไปขายบะหมี่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอพูดเหมือนฉันไม่เคยทำอะไร” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววอยากรู้อย่างเห็นได้ชัด ไม่มีทีท่าโกรธหรือหงุดหงิดกับท่าทางของเพื่อนเลยสักนิด

เจียวหมี่มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ลู่จินผิงทำเหมือนจำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่เรื่องคืนนั้นเธอก็บอกเล่าได้หมด พอเป็นเรื่องของตัวเองหรือคนรอบข้างกลับทำเหมือนไม่รู้อะไรเลย

“จินผิง เธอมีปัญหาทางสมองใช่ไหม ฉันหมายถึงจำอะไรไม่ได้ประมาณนั้น” เพราะทุกอย่างมันต่างออกไป เจียวหมี่อดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิดจะได้หาทางรักษาทัน

“ฉันไม่เหมือนเดิมใช่ไหม” ถามเสียงเบา ก่อนจะขยับตัวนั่งตรง ส่งยิ้มแหยให้เพื่อน “คงเป็นอย่างที่เธอว่านั่นแหละ”

เจียวหมี่เผยยิ้มไม่ต่างกัน เธอไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่าที่เพื่อนสนิทจำอะไรไม่ได้แบบนี้ “อย่าคิดมากเลยนะ อยู่ ๆ ไปความจำมันอาจจะกลับมาเองก็ได้ แค่เธอปลอดภัยก็ดีแล้ว”

“อืม เรื่องนี้ช่างมันเถอะ เรามาคุยกันเรื่องทำบะหมี่สูตรใหม่กันดีกว่า เงินสี่หยวนที่เหลือเราจะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ในครัวยังมีแป้งทำเส้นอีกไหม พวกเครื่องปรุงอะไรพวกนั้น เดี๋ยวฉันจะทำน้ำซุปแบบใหม่ให้ ส่วนเธอก็เอาออกไปขาย ตอนนี้หน้าฉันยังไม่หายดี ขอพักให้มันลดอาการเขียวช้ำก่อนแล้วกัน เธอพอจะไหวอยู่ใช่ไหม” เอ่ยเป็นการเป็นงานกับอีกฝ่าย เจียวหมี่ถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยิน จินผิงจะทำสูตรใหม่ให้เธองั้นเหรอ

“ฉันว่าอาการเธอยังแย่อยู่กลับไปนอนพักเถอะนะ เดี๋ยวฉันจะออกไปดูว่าป้าถังมีอะไรให้ช่วยทำไหม เผื่อจะได้เงินเพิ่มมาอีก เธอนอนพักเถอะตอนเที่ยงจะเข้ามาทำอะไรให้กิน” วางมือบนบ่าอีกฝ่ายแล้วตบมันลงเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไป

“ก่อนนี้เธอคงไม่ได้เรื่องเลยสินะลู่จินผิง” ต่อว่าเจ้าของร่าง ดูจากสีหน้าของเจียวหมี่แล้วคงไม่เชื่อว่าเธอจะทำได้

“งั้นขอสำรวจครัวดูหน่อยแล้วกัน ยุคนี้มีเครื่องปรุงเหมือนในอนาคตหรือเปล่านะ” ไวกว่าความคิดก็สองเท้าของเธอนี่แหละ จินผิงกำลังเดินตรงไปที่ครัวทางด้านซ้ายของบ้าน เมื่อเข้ามาก็มองสำรวจทุกอย่าง เห็นแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลาย แต่ละอย่างมันดูไม่คุ้นตาเลย เตาฟืนงั้นเหรอ กะทะก็ก้นดำสนิท

“อย่ายอมแพ้นะจินผิง ไม่งั้นแกอดตายแน่” พึมพำออกมาแล้วก็จัดการก่อไฟเป็นอันดับแรก ดีที่มีเศษไม้เล็กเป็นเชื้อให้ มันเลยไม่ยากนัก แต่กว่าจะติดก็เป่าลมจนหน้ามืดเหมือนกัน

จากนั้นเธอก็มาเตรียมเครื่องปรุงทำน้ำซุป วันนี้แค่ทดลองทำให้คนในบ้านชิมเท่านั้น เลยทำแค่หม้อเล็ก ๆ

“เนื้อมีแค่นี้เองเหรอ” มองก้อนเนื้อเท่ากำปั้นแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่เป็นไร มีหัวไชเท้าอยู่พอดี ทำบะหมี่หยกน้ำแดงสูตรเฉพาะทางร้านเราแล้วกัน” เมื่อจัดแจงเครื่องปรุงส่วนผสมได้เกือบครบ จินผิงก็เริ่มบรรเลงทำอาหารสูตรเด็ดที่เธอคิดค้นขึ้นมาเอง และในยุคปัจจุบันผู้คนก็นิยมเป็นอย่างมาก ใครมาที่ภัตตาคารเธอก็เป็นต้องสั่งมาซดน้ำกันก่อนอาหารหลักทุกครั้ง

เธอขลุกอยู่ในห้องครัวนานกว่าสองชั่วโมง เพราะต้องนวดเส้นทำแป้งเองด้วย และยังทำสีสันให้มันดูน่ากิน ผ่านไปสักพักกลิ่นของน้ำซุปก็เริ่มโชยออกมาตลบอบอวลไปทั่ว และลอยออกไปด้านนอกตามกระแสลมที่พัดผ่าน

“พวกนายได้กลิ่นอะไรไหม” จ้าวเหว่ยหันมาถามเพื่อนที่เดินตามกันมา ก่อนที่เขาจะหยุดลงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง

“เห็นแกกิน เราตามผู้ต้องสงสัยอยู่นะ” เจียหยางต่อว่า

“ก็มันหอมจริง ๆ นี่ แกไม่ได้กลิ่นเหรอ คุณชายได้กลิ่นไหมครับ” จ้าวเหว่ยหันมาหาแนวร่วม

“อืม หอมจริง ๆ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สีหน้าโจเยว่ก็ยังคงเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์หรือบ่งบอกอาการเลย

“พะ…พวกคุณจะมาทวงค่าเบาะเหรอคะ” เจียวหมี่ถามเสียงสั่น มองคนทั้งสี่ที่ยืนขวางหน้าบ้านเธออยู่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel