4. รู้สึกผิด
จินผิงยกยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้ร่างกายตอนนี้แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว ทว่าเธอก็ยังเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย หยุดมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังมีท่าทางเรียบเฉย ทว่านัยน์ตาเขาดุเอาเรื่องทีเดียว
“คืนงานเลี้ยง ฉันเห็นคนใส่ยาลงไปในแก้วไวน์จากนั้นก็ยกไปให้คุณ ก็เลยแกล้งเดินชนจนแก้วหล่นลงพื้น นึกมาถึงตรงนี้ฉันไม่ควรเสนอหน้าไปช่วยคุณเลย เพราะความหวังดีของฉันมันกลับนำพาความโชคร้ายมาให้ตัวเองเสียได้ ฉันถูกจับไปที่ซอยมืด ใครคนหนึ่งพูดกับฉันว่า เธอชวดที่จะได้ขึ้นเตียงกับคุณ ถึงได้เข้าใจว่ายานั้นคือยาปลุกอารมณ์ จากนั้นฉันก็ถูกรุมซ้อมจนแทบปางตาย ตามด้วยกรอกยาพิษ ไม่รู้สวรรค์เห็นใจหรือฉันยังชดใช้เวรกรรมไม่หมด สุดท้ายเลยรอดตายมาได้ ได้ยินแบบนี้แล้ว คุณคิดว่าใครกันแน่ที่ควรจะจ่ายค่าชดเชย”
ประโยคเหล่านี้จินผิงพูดให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น และมันก็ทำให้โจเยว่นิ่งไปนานพอสมควร เพราะเขาจำเรื่องคืนนั้นได้ดี หากมันเป็นอย่างที่เธอบอก ก็เท่ากับคนตรงหน้าช่วยเขาไว้มาก เพราะถ้าเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาจริง ๆ ชีวิตอิสระที่มีคงจบทันที
“ฉันจะแน่ใจได้ไงว่าเธอพูดจริง” น้ำเสียงเขาเริ่มอ่อนลง อันที่จริงเขาก็คอยระวังตัวตลอด เวลาอยู่กับผู้หญิง และรู้เป้าหมายของพวกเธอดี เรื่องวางยามันไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน แต่เรื่องทำร้ายกันจนปางตายมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ผู้หญิงที่อยู่ในงานแต่ละคนล้วนแต่เป็นลูกผู้ดีมีเงินกันทั้งนั้นจะโหดร้ายแบบนี้ได้ไง
“สภาพฉันเป็นขนาดนี้ยังคิดว่าโกหกอีกเหรอ ใครมันจะบ้าทำร้ายตัวเองแล้วโยนความผิดให้คนอื่น ช่างเถอะ ที่ฉันพูดไม่ใช่ว่าจะไม่รับผิดชอบหรอกนะ แค่ขอเวลาหน่อย พวกเราจนไม่มีเงินให้คุณรีดไถตอนนี้หรอก แต่ที่ฉันพูดขึ้นมาก็เพราะอยากรู้ว่าเธอคนนั้นคือใคร ชื่ออะไร บอกตรง ๆ การที่ฉันรอดชีวิตแบบนี้มันไม่ปลอดภัยเลย ฉันอยากหาทางเลี่ยงให้ตัวเอง หวังว่าคุณจะเข้าใจ” ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจินผิงก็คิดเรื่องนี้ตลอด
“เธอคิดว่าจะถูกฆ่าปิดปากงั้นเหรอ”
“หรือคุณไม่คิดล่ะ เอาเถอะฉันไม่ไหวแล้ว จะเอายังไงก็ว่ามา จะจับเราเข้าคุกหรือให้เวลาผ่อนจ่ายค่าเบาะรถของคุณ แต่บอกก่อนนะถ้าเป็นอย่างหลังฉันขอเวลาสักพัก” พูดจบเธอก็นั่งลงตรงหน้าเขาดื้อ ๆ ก็มันยืนไม่ไหวแล้วจริง ๆ
โจเยว่ถึงกับไปไม่เป็น ผู้หญิงคนนี้ทำอะไรไม่ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองเลยสักนิด ปากก็ร้าย นิสัยก็ไม่เรียบร้อย
“คุณคะ เมตตาเราสองคนเถอะ เพื่อนของฉันพึ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ร่างกายเธอยังไม่ดีขึ้นเลย ขอฉันพาเธอกลับไปพักก่อนเถอะนะ ถ้าไม่เชื่อใจขับรถตามไปก็ได้ค่ะ” เจียวหมี่ร้องขอ เพราะเพื่อนสนิทเริ่มตัวรุม ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ทำให้เธอต้องรีบเอายาออกมาให้กิน ต่วนหลี่เลยรีบส่งน้ำให้
จากคนที่เสียงแข็งในตอนแรก พอได้ยินเรื่องเมื่อกี๊ก็อดละอายใจไม่ได้ หากสิ่งที่เธอพูดมาเป็นเรื่องจริง เขาก็เป็นคนที่แย่มาก ใจจืดใจดำกับคนที่ช่วยตัวเองอย่างเลือดเย็น
“ช่างเถอะ ถือว่าคราวนี้ฉันชดใช้คืนให้เธอแล้วกัน ต่วนหลี่ไปเรียกรถให้พวกเธอสิ ต่อไปอย่ามาให้เห็นหน้าอีกแล้วกัน” พูดจบเขาก็ขึ้นรถไป มีคนสนิทอีกคนขับรถให้ “ส่วนแกหาทางกลับเอง” ประตูรถปิดลงไม่ถึงนาทีมันก็เคลื่อนออกไป
“อ้าว! ทิ้งกันเฉยเลย” นายทหารผู้ติดตามยืนเกาหัวมองรถราคาแพงของเจ้านายหายเข้าซอยไปแล้ว
“เดี๋ยวฉันไปเรียกรถให้นะ” เขาหันมาพูดกับสองสาวที่นั่งอยู่ เจียวหมี่เงยหน้าส่งยิ้มให้ คนตัวโตเลยได้แต่ฉีกยิ้มตาม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องไปเรียกรถให้ทั้งคู่ “รอสักครู่นะ” พูดแล้วก็รีบเดินไปที่หน้าโรงพยาบาล ไม่นานก็กลับมาพร้อมรถลาก
“เชิญครับ” เขาผายมือให้ทั้งคู่ขึ้นไป
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริง ๆ” เจียวหมี่บอกอย่างเกรงใจ สองครั้งแล้วที่พวกเธอได้เขาช่วยเอาไว้ “ถ้าไม่รังเกียจ วันไหนว่างแวะไปทานบะหมี่นะคะ” เธอยิ้มหวานส่งให้เขาตามมารยาท เพราะอีกฝ่ายดีกับพวกเธอมาก
“ไปแน่ครับ ขอให้คุณ เอ่อ…ว่าแต่ชื่ออะไรกันเหรอครับ” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วถามชื่อมันซะเลยแล้วกัน
“ฉันเจียวหมี่ค่ะ ส่วนเพื่อนฉันจินผิง”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ส่วนฉันชื่อต่วนหลี่”
“ค่ะ งั้นเราขอตัวเลยนะคะ” เธอบอกอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ส่งยิ้มให้เขาเหมือนเดิม เจียวหมี่เป็นคนที่ยิ้มง่ายและเป็นมิตรกับทุกคน ทว่าลู่จินผิงนั้นมีนิสัยต่างกัน ขี้โวยวาย เอาแต่ใจ ที่สำคัญคือทะเยอทะยานมาก อยากมีสามีรวย
เธอเองยังแปลกใจอยู่ ทำไมจินผิงถึงได้กล้าเดินออกไปพูดจาปากร้ายกับคุณชายมู่คนนั้นได้ ตามปกติแล้วเพื่อนสาวคนนี้จะต้องวางตัวดีต่อหน้าผู้ชาย ทำตัวอ่อนแอให้คนสงสาร ไม่ใช่เอาผิดกับอีกฝ่ายต่อหน้าผู้คนราวกับเป็นศัตรูกันแบบนี้
แล้วที่จินผิงคุยกับเขามันเรื่องอะไรกัน เกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนั้นหรือเปล่า จะถามตอนนี้ก็คงไม่ได้ เพราะคนป่วยหลับไปอีกแล้ว “เธอไปเจออะไรมาจินผิง” พึมพำถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
พอมาถึงบ้านเช่าหลังหนึ่งในซอยสิบสี่ เจียวหมี่ก็วิ่งไปตามเพื่อนบ้านอย่างหย่งชุนให้มาช่วย เขาอุ้มจินผิงแล้วพาเข้าด้านในทันที มีน้องชายเจียวหมี่คอยเปิดประตูให้
“ทำไมพี่จินผิงหมดสติแบบนี้ล่ะพี่” ร้องถามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะอาการหนัก
“พอดีพี่ให้กินยาก่อนจะออกมา ให้นอนสักพักก็ไม่เป็นไรแล้ว จางเป่าไปต้มยานี้เอาไว้นะ พี่จินผิงตื่นมาจะได้ดื่ม”
“ครับ” รับห่อยามาแล้วก็รีบตรงไปที่ครัว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” หย่งชุนรีบถามหลังจากออกมานั่งที่แคร่หน้าบ้านแล้ว “ดูหน้าเธอเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”
เจียวหมี่ิเผยยิ้มบางออกมา สุดท้ายเธอก็ต้องเล่าให้หย่งชุนฟัง เพราะเขาเป็นทั้งเพื่อนบ้านและพี่ชายของพวกเธอ เห็นกันมาตั้งแต่พ่อแม่ของพวกเธอยังไม่ตาย
มีเรื่องอะไรจินผิงและเจียวหมี่ไม่เคยปิดบังเลย และเรื่องนี้เธอยิ่งต้องควรบอก เพราะวันข้างหน้าอาจเกิดปัญหาได้
“มู่โจเยว่คือสาเหตุที่ทำให้จินผิงเป็นแบบนี้งั้นเหรอ แล้วเธอรู้ไหมว่าเรื่องอะไร” ท่าทางหย่งชุนอยากรู้มาก แต่คำตอบที่ได้คือการส่ายหัวของคนตัวเล็กเท่านั้น
“ช่างเถอะ รอให้จินผิงฟื้นก่อนค่อยถามก็ได้ งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ มีอะไรก็เรียกแล้วกัน” ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินออกไป เจียวหมี่มองตามเขาจนหายออกไปพ้นหน้าประตูทางเข้า
วันต่อมา
ลู่จินผิงอาการดีขึ้นจนเดินเหินได้คล่องแล้ว แต่ขอบตาเธอก็ยังคงเขียวช้ำอยู่ และทันทีที่ได้ส่องกระจก ดวงตาเธอก็เบิกกว้างขึ้นทันที “แม่เจ้า! นี่มันอะไรกันเนี่ยะ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาหน้าตาฉันก็เป็นแบบนี้เหรอ มิน่าล่ะ ฉันก็ว่าคนมองแปลก ๆ”
ทั้งนึกขำทั้งสมเพชตัวเอง นอกจากเกิดใหม่มาเป็นคนจนแล้ว หน้าตาเธอก็ยังดูไม่ได้อีก ถ้ามันหายเธอจะมีสภาพยังไงนะ ตัวละครที่โผล่มาแค่สองหน้ากระดาษคนนี้ ในชีวิตจะไม่มีดีอะไรเลยหรือไง เวรกรรมอะไรของเธอเนี่ยะ
“เดี๋ยวก็หายนะ แค่รอยฟกช้ำเอง อาจต้องใช้เวลาหน่อย ดีแค่ไหนที่เธอยังรอด” เจียวหมี่พยายามปลอบกลัวเพื่อนคิดมาก หน้าตาของผู้หญิงมันคือสิ่งสำคัญที่สุด
จินผิงยิ้มบางส่งให้ “นั่นสินะ มีชีวิตรอดก็ดีแล้ว”
เจียวหมี่นิ่งไปครู่หนึ่ง หากเป็นแต่ก่อนจินผิงโวยวายไปแล้ว ทว่าตั้งแต่ฟื้นมาอีกฝ่ายก็ยังไม่ร้องไห้ฟูมฟายสักครั้ง ขนาดหน้าสวย ๆ มีรอยเขียวช้ำ ยังบ่นแค่ไม่กี่คำ ดูไม่เหมือนลู่จินผิงคนเก่าเลย หรือว่าเพื่อนเธอคนนี้สมองกระทบกระเทือนหนัก เลยทำให้นิสัยหรือความทรงจำต่าง ๆ หายไป