3.เป็นคุณที่ต้องรับผิดชอบ
ลู่จินผิงนั่งคิดอะไรไปเรื่อย เพื่อรอเพื่อนสนิทเจ้าของร่าง และเชื่อว่าต่อไปเจียวหมี่ก็ต้องเป็นเพื่อนสนิทเธอได้เช่นกัน
“คนไข้ญาติไปจ่ายค่ารักษาหรือยังคะ” พยาบาลสาวเอ่ยถาม พร้อมกันนั้นเธอก็ถอดเข็มแล้วเก็บสายน้ำเกลือด้วย
“ฉันจ่ายเรียบร้อยแล้วค่ะ เรากลับบ้านได้เลยใช่ไหมคะ” เจียวหมี่เดินกลับมาพอดี พร้อมกับห่อยา
“ใช่ค่ะ อย่าลืมกินยาตามที่หมอสั่งนะคะ” กำชับเสียงหวาน เพราะอดสงสารคนป่วยไม่ได้เหมือนกัน ทั้งที่อาการก็ยังไม่หายดี แต่ก็ต้องออกจากโรงพยาบาลเพราะไม่มีเงินรักษาต่อ ซึ่งมันเป็นแบบนี้ประจำ สำหรับผู้ป่วยที่ยากจน
“ขอบคุณนะคะ” ทั้งสองคนโค้งให้ จากนั้นเจียวหมี่ก็ประคองเพื่อนรักออกมา จนกระทั่งถึงหน้าโรงพยาบาล ลู่จินผิงเลยหันกลับไปมองภาพด้านหลัง สิ่งที่เห็นมันเหมือนจริงทุกอย่าง เสมือนโลกที่เธอเคยอยู่ ต่างกันก็แค่มันคือยุคอดีตเท่านั้น
เปลือกตาที่ยังคงบวมช้ำกะพริบมองภาพตรงหน้า ราวกับกำลังย้ำเตือนตัวเองให้รู้ว่าเธอได้อยู่อีกโลกไปแล้ว
“เธอยืนรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันไปเรียกรถลากก่อน”
“มีเงินจ่ายเหรอ แล้วบ้านเราอยู่ไกลไหม”
“เธอยังป่วยอยู่ ยังไงก็เดินไม่ไหวหรอก” เจียวหมี่กระชับเสื้อคลุมให้ก่อนจะเดินตรงไปเรียกรถลากที่จอดอยู่ข้างกำแพง
“นี่เธอมาทำอะไรแถวนี้เนี่ยะ” ตวนหลี่ร้องเรียกหญิงสาวทันทีที่เห็นเธอเดินออกมาจากโรงพยาบาล
“เอ่อ…คุณคือ” เพราะวันนั้นเธอมัวแต่ห่วงเพื่อน มาถึงโรงพยาบาลก็ไม่ได้ถามชื่อแซ่อีกฝ่ายไว้ ที่สำคัญคือเธอไม่ค่อยได้มองหน้าพวกเขานัก เลยจำไม่ได้
“ชิ! อุตส่าห์พามาส่งโรงพยาบาลกลับจำกันไม่ได้ซะงั้น” ชายหนุ่มตัดพ้อไม่จริงจัง อันที่จริงเขาดีใจต่างหากที่ได้พบเธอ
“อ๋อ! คุณนั่นเอง ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันจำไม่ได้ วันนั้นกังวลเรื่องของเพื่อนมากไปหน่อย แม้แต่บอกขอบคุณก็ยังไม่ได้พูดเลย วันนี้มีโอกาสแล้ว ขอบคุณมากนะคะ” เจียวหมี่โค้งให้อีกฝ่าย เธอทราบซึ้งใจจริง ๆ ที่พวกเขาช่วยในวันนั้น
“มะ…ไม่เป็นไรอย่าเกรงใจเลย ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ แล้วเพื่อนเธอเป็นยังไงบ้าง” รีบถามถึงคนเจ็บ
“เธอดีขึ้นแล้วค่ะ พึ่งฟื้นวันนี้เอง อ๊ะ! ตายจริงฉันต้องรีบเรียกรถแล้ว ขอตัวนะคะ เพื่อนฉันรออยู่” นึกขึ้นได้ก็รีบบอกลาแล้วตรงไปเรียกรถลาก ป่านนี้ลู่จินผิงคงยืนชะเง้อคอยาวรอแล้ว
“เดี๋ยวฉันไปส่ง พอดีเจ้านายฉันทำธุระอยู่ คงอีกนานกว่าจะออกมา เรารีบไปเถอะ บอกฉันว่าบ้านเธออยู่ที่ไหนก็พอ” ชายหนุ่มรั้งแขนอีกฝ่ายให้เดินตามมาที่รถ กะว่าให้เธอขึ้นแล้วค่อยไปรับคนเจ็บด้านใน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปมา
เจียวหมี่ตั้งใจจะปฎิเสธ แต่พอเดินออกมาข้างนอกรถลากกลับไม่มี เลยต้องจำใจตามเขามายังรถที่จอดอยู่ริมกำแพง
ทว่ายังไม่ทันได้เปิดประตูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาก่อน
“นี่แกคิดจะทำอะไรตวนหลี่” เสียงเย็นของเขามันช่างน่ากลัวเหลือเกิน เจียวหมี่รีบถอยออกมาห่างรถทันที เดาได้ไม่ยากหรอก ว่าคนตัวโตที่ยืนอยู่ต้องเป็นเจ้าของรถแน่ ท่าทางเขาภูมิฐานมีมาดคุณชายซะขนาดนี้ กางเกงกับเสื้อเชิ้ตที่เขาสวมราคามันน่าจะมากกว่าค่าเช่าบ้านของพวกเธออีกล่ะมั้ง
“อะ…คือ” ตวนหลี่มีท่าทางอึกอัก เพราะไม่รู้จะบอกยังไง เขาเองก็ผิดที่คิดจะเอารถเจ้านายไปส่งคน
“เอ่อ ไม่ต้องแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวเราเดินไปเองได้” เจียวหมี่พูดขึ้น เพราะเธอไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว
“เดี๋ยว! เธอและเพื่อนใช่ไหมที่ขึ้นรถฉัน รู้หรือเปล่าว่าฉันต้องเสียเงินเปลี่ยนเบาะรถไปถึงร้อยห้าสิบหยวน พวกเธอจะชดใช้ยังไง” ร่างเล็กชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินออกไปทันที
เจียวหมี่กะพริบตาถี่มองอีกฝ่ายที่ยืนจ้องเธอด้วยสายตาคมดุ สีหน้าเขาบ่งบอกให้รู้ว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ระ…เราไม่มีเงินคืนให้คุณหรอกค่ะ” เสียงเธอติดขัดสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด อยู่ดีดีก็ถูกเรียกเก็บเงินอีก จะไปหาที่ไหนมาให้เขา จ่ายแค่ค่าโรงพยาบาลก็ยังจะหมดตัวแล้ว
“ไม่มีก็ต้องหามา รถฉันไม่ใช่ของที่จะให้ใครนั่งก็ได้” ชายหนุ่มยังคงตวาดดังลั่น ทำให้ผู้คนที่เดินไปมาต้องพากันหยุดมอง
“คุณชายครับ หักจากเงินเดือนผมก็ได้ครับ” ตวนหลี่ออกรับแทน เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากเขาเป็นตัวต้นคิด
“หุบปากของแกซะ ยังไงเดือนนี้นายก็ไม่ได้รับเงินแน่” หันมาชี้หน้าคนก่อเรื่อง เขาหวงรถแค่ไหนอีกฝ่ายรู้ดี แต่ตวนหลี่ก็ยังกล้าเอารถเขาไปส่งผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ตั้งสองคน
“เจียวหมี่มีอะไรหรือเปล่า ไหนว่ามาตามรถลาก แล้วพวกเขาเป็นใคร เพื่อนเธอเหรอ” จินผิงถามอย่างพาซื่อ เพราะเธอยังใหม่กับชาติภพนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครเลย
“ใครเขาอยากเป็นเพื่อนกับคนอย่างพวกเธอ ว่าไงจะจ่ายมาดีดีหรือให้ฉันจับพวกเธอส่งตำรวจ” คนตัวโตยังคงพูดถึงเรื่องเดิม ถึงแม้ตอนแรกจะตกใจตอนเห็นสภาพหญิงสาวที่เดินมาก็เถอะ ทว่าคนอย่างมู่โจเยว่ไม่ยอมใจอ่อนง่าย ๆ หรอก
รถเขามีเอาไว้ให้ว่าที่ภรรยาในอนาคตนั่งเท่านั้น
“จ่าย จ่ายอะไรเหรอ แล้วทำไมต้องจ่าย” จินผิงย้อนถาม เธอมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วก็หันมาหาเพื่อนที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาปล่อยให้อีกฝ่ายข่มเหงอยู่ได้ ไม่รู้จะกลัวทำไมนัก
“สองวันก่อนที่เราเอารถมาส่งพวกเธอที่โรงพยาบาล คราบเลือดเธอมันติดอยู่ที่เบาะรถ คุณชายเลยสั่งให้เปลี่ยนออก ค่าเบาะคือร้อยห้าสิบหยวน คุณชายต้องการให้พวกเธอชดใช้” เป็นจ้าวเหว่ยที่พูดขึ้นเพื่อคลายความสงสัยของคนมาใหม่ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ สภาพเธอดูไม่ได้เลย
“เธอไม่มีเงินใช่ไหมเจียวหมี่” เอียงหน้ามากระซิบถามเพื่อน เงินร้อยห้าสิบหยวนในยุคนี้มันถือว่าเยอะมาก
ถ้าอยู่ในโลกของเธอมีหวังอีตานี่โดนเงินฟาดหน้าไปแล้ว แต่ตอนนี้ลู่จินผิงต๊อกต๋อยมาก อย่าว่าแต่ร้อยห้าสิบหยวนเลย ทั้งเนื้อทั้งตัวของเจียวหมี่มีถึงสิบหยวนหรือเปล่าก็ไม่รู้
“เราขอผ่อนได้ไหมคะ พอดีพึ่งจ่ายค่าโรงพยาบาลไป คุณให้คนตามไปที่บ้านก็ได้ ถ้าฉันหายดีจะหาเงินมาคืนให้ บอกที่อยู่หรือชื่อคุณไว้ก็ได้ ถ้าเรารวบรวมเงินได้จะเอามาส่งให้คุณค่ะ” อย่างแรกเธอควรเจรจาพูดดีดีกับเขาก่อน ฐานะเขาดีขนาดนี้คงไม่ใจดำเคี่ยวเข็ญเอาเงินกับพวกเธอหรอก
“หน้าฉันเหมือนคนในมูลนิธิการกุศลงั้นเหรอ ถ้าไม่จ่ายวันนี้งั้นพวกเธอก็ไปนอนในคุกสักสองสามคืนแล้วกัน” บอกเสียงเรียบ หน้าตาเขาก็ยังนิ่งไร้แววเมตตาสงสารเหมือนเดิม
“มันจะมากไปแล้วนะ อุตส่าห์ขอร้องดีดีแล้วแท้ ๆ แต่ก่อนฉันรวยยิ่งกว่านายอีก ยังไม่เห็นดูถูกคนจนแบบนี้เลย จิตใจทำด้วยอะไรห๊ะ! เห็นคนลำบากยังคิดจะเหยียบให้จม เสียแรงที่เกิดมาหล่อหน้าตาดี นิสัยแย่ยิ่งกว่าขอทานข้างถนนอีก” จินผิงต่อว่าเขาเสียยกใหญ่ ทั้งที่เสียงก็แทบจะไม่มี
แต่ทุกถ้อยคำที่เธอพูดออกมาคนฟังรู้เรื่องหมด รวมถึงชาวบ้านที่หยุดดู และเสียงเซ็งแซ่ก็ดังตามมา โดยเฉพาะประโยคที่ทำให้ลู่จินผิงต้องตั้งใจฟัง
“กล้ามากเลยนะที่คิดต่อกรกับคุณชายมู่โจเยว่ สงสัยอยากตายไร้ที่ฝังแน่ ๆ” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นทางด้านหลังของเธอ
“นั่นสิ สงสัยไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วมั้ง”
“ฮ่าฮ่า คิดจะเอาเรื่องกับลูกชายท่านนายพลงั้นเหรอ สภาพตัวเองยังเอาไม่รอด ยังจะอวดเก่งอีก ไม่เจียมตัวซะเลย”
จินผิงยืนนิ่งพร้อมกับมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยืนจ้องเธอเขม็ง แก้มเขาขึ้นเป็นสันนูน นัยน์ตาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าคงโกรธมากที่ถูกเธอต่อว่าเมื่อครู่
แต่ไหนเลยเธอจะสน ถ้าคนตรงหน้าคือมู่โจเยว่ คำด่าเมื่อกี๊มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะเขาคือสาเหตุที่ทำให้เจ้าของร่างตาย ทั้งที่เธออุตส่าห์ช่วยเขาเอาไว้แท้ ๆ กลับไม่สำนึกบุญคุณ ตอนนี้กลับคิดจะขุดรีดเงินเพื่อสนองความต้องการของตัวเองอีก
“ถ้าคุณคือมู่โจเยว่ฉันไม่จ่าย เพราะคุณคือต้นเหตุที่ทำให้ฉันเกือบตาย คุณต่างหากที่ต้องชดใช้ให้ฉัน” จินผิงพูดเสียงดังและมันก็ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็เป็นงง
รวมถึงเจียวหมี่ด้วย เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คิดว่ารอให้กลับบ้านก่อนค่อยถาม
“พูดบ้าอะไรของเธอ อย่ามาทำเฉไฉเลี่ยงไม่จ่ายเงินดีกว่า” โจเยว่ยังคงยืนกรานจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด กล้าดียังไงถึงได้มาต่อว่าเขา ทั้งที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว
#ใส่ไปเลยลูก อย่าไปหยอง สภาพตาบวมเขียวช้ำแบบนี้เขาจำเราไม่ได้หรอก [ลูกสาวไม่ได้ส่องกระจกก่อนออกจากโรงพยาบาล]