2. เกิดใหม่เป็นตัวประกอบที่ยากจน
ลู่จินผิงถูกประคองให้เดินออกมาจากซอย มีชายหนุ่มทั้งสามนายเดินประกบไม่ห่าง ทำราวกับกลัวเธอสองคนจะหนีหาย ร่างกายสะบักสะบอมขนาดนี้ใครมันจะไปวิ่งไหว
พอออกมาเจอแสงไฟด้านนอกถึงได้รู้ว่าตัวเองอาการแย่แค่ไหน เนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำและเริ่มรู้สึกปวดกรามขึ้นมาแล้ว สภาพมันไม่เหมือนคนที่จมน้ำแล้วฟื้นขึ้นมาเลย ที่สำคัญถ้าถ่ายหนังอยู่ แน่นอนว่าเธอไม่มีทางระบมตามตัวแบบนี้หรอก
ช่วงแรกที่ตื่นขึ้นมามันยังไม่รูู้สึกอะไร เพราะยังมึนงงกับเหตุุการณ์ตรงหน้า จู่ ๆ ก็มีใครก็ไม่รู้มาเรียกและยังบอกว่าเป็นเพื่อนเธออีก ถ้าจะพูดว่าตกใจจนลืมเจ็บก็ไม่ผิดหรอก
“นี่เธอ ขอถามหน่อยสิ ปีนี้เป็นปีอะไรเหรอ” กระซิบเสียงเบา เพราะกลัวผู้ชายสามคนนี้จะได้ยิน เพราะเท่าที่มองสำรวจโดยรอบมันไม่น่าจะใช่กองถ่ายแล้ว มันเงียบเชียบมากเลย
ถ้าใช่ กองนี้ก็เซตฉากเก่งเกินไป
“นี่เธออาการหนักถึงกับจำวันเดือนปีไม่ได้เลยเหรอ”
“บอกมาเถอะน่า ก็ฉันจำไม่ได้จริง ๆ นี่ นะเพื่อนรัก” รบเร้าอีกฝ่ายด้วยคำพูดออดอ้อน จนเจียวหมี่ต้องยอมบอก
“ปีหนึ่งเก้าแปดสอง แล้วเราก็เป็นแม่ค้าขายบะหมี่อยู่ที่ซอยตงชิวสิบสี่ คืนนี้รับงานนอกสถานที่ เรามาทำบะหมี่เลี้ยงแขกในงานเลี้ยงที่โรงแรมตรงนี้ ซึ่งต่อมาเธอก็หายไป ฉันกับจางเป่าเลยออกตามหา อ้อ! จางเป่าคือน้องชายฉัน อายุสิบสอง คิดว่าน่าจะอยู่กับหย่งชุน เพื่อนบ้านของเรา” เจียวหมี่คิดว่าเพื่อนสาวต้องถามต่ออีกหลายอย่าง ก็เลยบอกเธอไปคร่าว ๆ ก่อน เผื่อจะจำอะไรได้บ้าง แต่ดูจากสีหน้าแล้วคงจะไม่ คิ้วอีกฝ่ายผูกกันเป็นปมตั้งแต่บอกว่าช่วงนี้เป็นปีอะไรแล้ว
“ไม่จริงน่า มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน” พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะรีบเปิดหนังสือที่เธอยังกำมันไว้แน่น
พอเปิดออกดูก็ถึงกับเข่าทรุด เพราะตัวอักษรมันละลายราดลงมาเป็นสายจับใจความไม่ได้เลย
“ฉะ…ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” บอกคนที่เข้ามาช่วยพยุง พร้อมกับพยายามลุกขึ้นยืนให้ตรง ถึงแม้ในใจมันจะร่วงลงไปกองกับพื้นแล้วก็เถอะ มันยากเกินจะรับได้จริง ๆ
“จะให้เราไปส่งที่ไหน” เสียงหนึ่งดังขึ้น หลังจากที่เงียบมานาน ชายหนุ่มมองดูคนเจ็บแล้วก็อดสงสารไม่ได้
“เอ่อ ซอยสิบสี่ค่ะ เราขายบะหมี่อยู่ตรงนั้น”
“ไกลมากเลยนะ มาทำอะไรแถวนี้ดึก ๆ ดื่น ๆ” เริ่มสอบสวนขึ้นมาทันที เพราะค่ำคืนแบบนี้ผู้หญิงสองคนมาทำอะไรที่นี่
“เรารับงานนอกสถานที่ค่ะพี่ชาย ทำบะหมี่ให้กับเจ้านายในงานเลี้ยงที่โรงแรงหรูเชียงเมื่อคืน พวกพี่ไม่ได้กินเหรอ” พูดคุยอย่างเป็นมิตร เครื่องแบบของพวกเขามันทำให้เธอกลัว
“เป็นพวกเธอเหรอที่ทำ อร่อยดีนะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะเอารถไปส่งแล้วกัน” ตวนหลี่พูดขึ้นมา ทำให้เพื่อนอีกคนต้องรีบขัด
“ไม่ได้ ถ้าคุณชายรู้ต้องโดนดุแน่”
“พวกนายก็อย่าพูดสิ จะให้คนที่บาดเจ็บเดินกลับหรือไง น้ำใจของเพื่อนมนุษย์น่ะมีไหม” หันมาเอ็ดเพื่อนที่ขัดจังหวะ
“ยังไงก็ไม่ได้ คุณชายไม่เคยให้ผู้หญิงขึ้นรถเลย ขนาดคุณหนูหลิวยังไม่เคยได้รับเกียรติ ขืนคุณชายรองรู้มีหวังเราถูกลงโทษแน่” ซางเหว่ยเตือนอีกรอบ
จินผิงมองผู้ชายสองคนเถียงกันไปมาก็พาให้เหนื่อยแทน ถ้าขืนต้องรอให้พวกเขาตกลงกันเสร็จ เธอมีหวังจับไข้ตายก่อนแน่ ๆ พึ่งได้เกิดใหม่เมื่อกี๊จะให้ตายอีกรอบหรือไง
“ฉันว่าเราเดินกลับกันเถอะ”
“ไหวเหรอ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เจียวหมี่ก็ยังประคองเพื่อนรักเดินออกมา ทำให้สามหนุ่มที่ยังตกลงกันไม่ได้ต้องรีบก้าวเท้าขยับตาม หนึ่งในนั้นดูเป็นห่วงจินผิงมาก
ก็สภาพเธอสะบักสะบอมซะขนาดนี้ ใครเห็นไม่สงสารก็ดูจะใจไม้ไส้ระกำเต็มทน “ตวนหลี่ นายไปเอารถมาเถอะ ถ้าคุณชายรองดุหรือสั่งทำโทษ ฉันจะรับผิดชอบเอง” เจียหยางพูดขึ้น หลังจากที่นิ่งเงียบมองอยู่นานแล้ว
“งั้นพวกนายไปเถอะ ฉันจะรออยู่ที่นี่” เมื่อรู้ว่าห้ามไม่ได้ จ้าวเหว่ยก็เลยต้องเสียสละรอ เพราะรถมันนั่งได้แค่สี่คน
“เอาน่า นายก็เห็นว่าเขาเจ็บแค่ไหน” เจียหยางหันมาตบไหล่เพื่อน อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้ ยิ่งไฟส่องสว่างมากขึ้น ใบหน้าที่บวมเป่งของหญิงสาวมันก็ยิ่งชัดเจน ทั้งแดงและขอบตาบวมปูด คนทำช่างใจร้ายเหลือเกิน ดีแค่ไหนที่มันไม่ขืนใจเธอด้วย
ทว่าความเป็นจริงคงมีแค่ลู่จินผิงเท่านั้นที่รู้ว่าใครทำ
แต่จะว่าไปก็เหมือนว่าเธอจะไม่รู้หรอก เพราะในนิยายไม่ได้บอกว่าใครทำ บรรยายแค่ว่าเป็นคุณหนู คงต้องรอดูว่าจะกู้เนื้อหาในหนังสือที่เธอถืออยู่ได้ไหม จะได้รู้ว่าใครที่ทำร้ายเจ้าของร่าง หวังว่าด้านในมันจะละลายคละกันแค่ไม่กี่หน้า
ลู่จินผิงก็พอจะเข้าใจทุกอย่างแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอจมน้ำตายและมาเกิดใหม่ในร่างนี้ ตัวละครที่มีชื่อเหมือนเธอ และตอนที่เกิดเรื่องหนังสือเล่มนี้มันก็อยู่ในมือ นี่คงเป็นกุญแจสำคัญที่ชักนำให้เธอมาอยู่ในนิยายที่ไม่รู้ว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง แค่คิดก็รู้สึกถึงความยากลำบากที่จะตามมาแล้ว
คนจากโลกปัจจุบันที่เคยใช้ชีวิตสุดหรู กินนอนบนกองเงินกองทอง กลับต้องย้อนอดีตมาเป็นแม่ค้าขายบะหมี่งั้นเหรอ ชีวิตเธอจะวนเวียนกับอาหารไปถึงไหนกันนะ
ช่างเถอะ คิดไปก็ปวดหัว เธอบอกตัวเองแบบนี้ เพราะร่างกายมันล้าเต็มที ไม่รู้ยืนอยู่ได้ยังไง
สุดท้ายเธอก็ไม่ไหวจริง ๆ ทุกอย่างดับวูบไปอีกแล้ว
สองวันต่อมา
เปลือกตาสวยเปิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากหมดสติไปนานโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวเลย นั่นเพราะร่างกายยังมียาพิษตกค้างอยู่ น่าแปลกที่ลู่จินผิงไม่ตาย หากเป็นคนทั่วไปคงไม่รอดจริง ๆ
นี่อาจเป็นข้อดีของคนที่ได้เกิดใหม่ ในเมื่อประตูเวลาเปิดให้เธอมาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าลู่จินผิงต้องไม่ตายง่าย ๆ
“ฟื้นแล้วดีจังเลย มาดื่มน้ำก่อนนะ” ยังเป็นจางเจียวหมี่ที่คอยดูแล ทำให้คนเจ็บอดซึ่งใจไม่ได้ อีกโลกที่ลู่จินผิงเคยอยู่เธอมีเพื่อนมากมายก็จริง ทว่าทุกคนล้วนแต่เข้ามาเพราะฐานะของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลลู่ทั้งนั้น เงินสามารถซื้อมิตรภาพได้ แต่ถ้าวันไหนครอบครัวเธอตกต่ำ คนเหล่านั้นไม่รู้จะอยู่ต่อหรือเปล่า
“ขอบใจนะ” น้ำเสียงยังคงแหบแห้งเหมือนเคย
“สีหน้าเธอดีขึ้นแล้ว ถ้าไงเราออกจากโรงพยาบาลเลยนะ เงินที่เก็บออมไว้ใกล้จะหมดแล้ว ยังต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีก ขอโทษนะจินผิง” เจียวหมี่รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องพูดแบบนี้ แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อมันเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ๆ
การรักษาของลู่จินผิงต้องใช้ยาสลายพิษที่อยู่ในตัว และมันก็มีราคาแพงพอสมควร ทำให้เงินที่เก็บออมเอาไว้เพื่อวันหน้าต้องหมดไป เจียวหมี่เลยคิดหนักจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
แต่จะให้ปล่อยเพื่อนรักตายไปต่อหน้าเธอก็ทำไม่ได้
“เราแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ถามเสียงเบา นี่ขนาดเธอนอนรวมกับผู้ป่วยคนอื่นแล้วนะ มันไม่ใช่ห้องพิเศษอะไรเลย เงินที่มียังแทบไม่พอจ่ายงั้นเหรอ ทำไมชาติภพนี้เธอถึงได้อนาถานัก
จากคุณหนูที่เกิดบนกองเงินกองทอง กลับกลายเป็นคนที่แม้แต่เจ็บป่วยก็ยังอยู่รักษาตัวจนหายดีไม่ได้ ช่างเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกจริง ๆ “งั้นเธอก็แจ้งหมอเถอะ เราจะได้กลับบ้านกัน”
“เธอรอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปแจ้งพยาบาลมาถอดสายน้ำเกลือให้ ขอโทษนะจินผิง” เจียวหมี่ยังคงรู้สึกผิด เพราะอาการของเพื่อนสาวยังดูเพลียอยู่เลย ใบหน้าก็ยังมีร่องรอยของการถูกทุบตี มันบวมช้ำเป็นสีเขียวคล้ำเชียว
“ไปเถอะน่า พูดมากเดี๋ยวฉันนอนต่อนะ” โบกมือไล่เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่าย คงรู้สึกผิดมากนั่นแหละ แต่จะให้ทำไงได้ ในเมื่อพวกเธอไม่มีเงินจ่ายค่าโรงพยาบาล ก็ต้องระเห็ดกลับไปนอนซมที่บ้านนั่นแหละ เกิดมาเป็นคนจนมันรู้สึกแบบนี้นี่สินะ
เธอขยับพาตัวเองลุกมานั่งหย่อนขา จากนั้นก็มองไปรอบห้อง สภาพแต่ละคนดูอนาถาพอกัน แม้แต่คนที่มาเยี่ยมก็ยังแต่งตัวมอซอ หน้าตาแห้งกร้านเหมือนคนใช้แรงงานหนัก
จะว่าไปมันก็ไม่แปลกหรอก ยุคสมัยนี้ ผู้คนยังยืดถืออาชีพเก่า ๆ อยู่ ทำไร่ทำนาหาเลี้ยงครอบครัว อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เจ้าของร่างและเพื่อนสนิทที่ดูแลเธอ ผิวพรรณก็ยังดูแห้งกร้านเลย ชีวิตของทั้งคู่คงลำบากกันน่าดู
เงินเก็บที่พูดถึงก็ไม่รู้ว่ามีสักกี่หยวนกัน จนได้ใจจริง ๆ