1. ค่าผ่านทาง
ตัวละครหนึ่งในนิยายยุคแปดศูนย์กำลังจะตาย เพราะเธอดันทำให้แผนการณ์ของสาวสวยคนนี้พัง จนชวดเรื่องบางอย่างไปอย่างน่าเสียดาย สุดท้ายความโชคร้ายเลยมาตกที่เธอแทน
“แกกล้ามากที่มาขัดจังหวะฉัน จับมันอ้าปากเดี๋ยวนี้” ตะคอกใส่สาวใช้ที่ยืนมองด้วยอาการตื่นตระหนก ร่างผอมบางจึงตรงเข้ามาทำตามที่เจ้านายสั่ง ในใจก็นึกสงสารหญิงสาวหน้าตาดีคนนี้ ไม่รู้เป็นใครมาจากไหนถึงต้องมาตายอย่างน่าอนาท
ยาพิษที่ใช้มันร้ายแรงชนิดที่ทำให้ตายได้ภายในสิบนาที หญิงสาวคนนี้คงไม่รอดแน่ เจ้านายเธอเป็นคนที่โหดร้ายจริง ๆ
แต่สาวใช้อย่างพวกเธอจะพูดอะไรได้ นอกจากทำตามคำสั่ง ไม่งั้นก็ต้องตายเหมือนทุกคนที่คิดเป็นศัตรู เพราะครอบครัวเจ้านายมีอำนาจมาก กลับดำให้เป็นขาวได้ง่าย ๆ
“ตายซะเถอะนังตัวมาร” มือขาวเทขวดยาลงใส่ปากอย่างไม่ปรานี เธอจัดการหญิงสาวคนนี้ในซอยเล็ก ๆ ข้างโรงแรมแห่งหนึ่ง หลังจากชวดการร่วมห้องกับคุุณชายมู่ไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ผู้หญิงคนนี้เดินชนเขาจนแก้วไวน์ในมือของมู่โจเยว่ ตกแตกกระจายไปต่อหน้าต่อตา คิดจะวางยาใหม่ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะชายหนุ่มถูกดึงตัวออกไปจากงานหลังจากนั้น
หญิงสาวพยายามร้องให้คนช่วย แต่มันก็เปล่าประโยชน์เพราะช่วงเวลานี้มันดึกเกือบเที่ยงคืนแล้ว ในงานเลี้ยงที่ห้องโถงของโรงแรม แขกเหรื่อก็แยกย้ายกันกลับไปจนเกือบหมด เหลือแค่พวกขี้เมาที่ยังคงดื่มกินกันอยู่
ส่วนตัวต้นเรื่องที่เป็นสาเหตุให้เธอคนนี้ต้องตาย เขากลับบ้านไปหลับสบายบนเตียงนอนสุดหรูแล้ว ไม่รับรู้เลยว่าใครบางคนกำลังขาดใจตายเพราะเขาเป็นตัวจุดชนวนเรื่องทั้งหมด
ร่างเล็กถูกปล่อยทิ้งให้นอนหายใจรวยรินในเวลาต่อมา เธอพยายามตะเกียกตะกายเพื่อเอาตัวรอด แต่มันไม่เป็นผลเลยเมื่อร่างกายอ่อนแรงเต็มที ดวงตาเริ่มพร่ามัวมองอะไรก็ไม่ชัด ในที่สุดมันก็วูบดับไปพร้อมกับดวงวิญญาณที่ล่องลอยออกจากร่าง
“ฮึก…เศร้าจัง เธอดูสิ ตัวละครที่ชื่อเหมือนฉันตายในตอนที่สาม ออกมาแค่สองหน้ากระดาษก็ตายซะแล้ว ใจร้าย คนเขียนใจร้ายมาก” เสียงตัดพ้อดังขึ้นมา ทำให้เพื่อนสาวที่นั่งพักผ่อนกันบนริมหาดได้ส่ายหัวเป็นรอบที่สิบ
“อะไรของแกเนี่ยะ มาเที่ยวทะเลทั้งที ยังจะเอานิยายมาอ่านอีก มันสนุกตรงไหนห๊ะ!” อดไม่ได้เลยบ่นไปหนึ่งยก
“ก็มันสนุกนี่ เสียดายก็แค่มันยังไม่จบ ตอนซื้อนึกว่าจะจบในเล่มเดียว ฉันยังคิดอยู่เลยว่าจะอ่านต่อดีไหม กลัวค้าง” ทำหน้าผิดหวังจนเพื่อนหมั่นไส้ เพราะลู่จินผิงเป็นเอามากจริง ๆ
“อ้าว! แล้วตอนซื้อคนขายไม่ได้บอกเหรอ” เพื่อนอีกคนถาม เธอเองก็เป็นคนที่ชอบอ่านนิยายเหมือนกัน
ส่ายหัวไปมาแล้วยิ้มแห้ง “ฉันซื้อมาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ตรงทางเข้าโรงแรม เธอบอกว่าไม่มีเงินผ่านทางอะไรสักอย่างนี่แหละ ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ฉันรวยไง เงินแค่นี้จิ๊บ ๆ” คุยโวไปอีก แต่มันก็จริงอย่างที่ลู่จินผิงพูด
เธอรวยมาตั้งแต่เกิดอย่างที่บอก ครอบครัวมีภัตตาคารหลายสาขา พูดว่าทุกเมืองเลยก็ได้ และสูตรการทำอาหารเธอก็เป็นคนคิดเองส่วนหนึ่งก็นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน
“จ้าแม่คนรวย” ประชดไม่จริงจัง ก่อนจะส่งสายตาให้เพื่อนในกลุ่ม สองในสี่เลยลุกขึ้นยืน ก่อนจะตรงเข้ามาล็อคตัวหนอนหนังสือที่หมกมุ่นมากจนไม่สนใจอย่างอื่น
อีกสองคนหิ้วขาจนตัวลู่จินผิงลอยขึ้น ก่อนจะพากันวิ่งไปที่ทะเล พร้อมกับเสียงกรีดร้องชอบใจของกลุ่มเพื่อน ต่างจากคนที่กำลังถูกโยนลงน้ำเป็นอย่างมาก เพราะเธอดันถือหนังสือนิยายติดมือมาด้วย จินผิงนึกเสียดายกลัวมันหล่นหายไป มือเล็กเลยต้องกำไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จากนั้นเธอก็พยายามดีดตัวขึ้นจากน้ำตามสัญชาตญาน
ทว่าจู่ ๆ ก็มีมวลคลื่นมาจากไหนไม่รู้ ม้วนดูดเธอออกห่างจากฝั่งไปทีละนิดจนกระทั่งจมหายไปในที่สุด ท่ามกลางเสียงร้องเรียกของบรรดาเพื่อนสนิทที่พยายามรั้งร่างเธอเอาไว้
ทว่า ดวงวิญญาณของลู่จินผิงไม่ได้อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงนี้อีกต่อไปแล้ว ประตูแห่งกาลเวลากำลังนำทางเธอไปสู่โลกแห่งจินตนาการ ซึ่งมันอยู่ในนิยายที่เธอยังกำมันไว้แน่น
“จินผิง! จินผิง! ตื่นสิเธออย่าทำฉันตกใจนะ” ร่างเล็กถูกเขย่าไปมา ไม่นานนักเปลือกตาสวยก็เปิดขึ้น
“นี่เรายังไม่ตายเหรอเนี่ยะ” พึมพำกับตัวเอง แต่ภาพรอบตัวมันกลับไม่ใช่ชายทะเล สถานที่สุดท้ายที่เธออยู่
แต่ที่นี่มันคือซอยเล็ก ๆ และมันก็มืดไม่ใช่ตอนกลางวัน มีแสงไฟส่องสว่างเป็นบางจุด แต่ยังพอให้เห็นว่าภาพตรงหน้ามันไม่เหมือนโลกที่เธอเคยอยู่เลย มันเหมือนยุคที่ความเจริญพึ่งเข้ามามากกว่า หรือเธอแค่ฝันไปเท่านั้น
“ฉันดีใจจังที่เธอไม่เป็นอะไร” ร่างเล็กถูกสวมกอดทันที
‘อะไรกัน ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร’ นึกในใจถึงการกระทำของอีกฝ่าย ทั้งร้องไห้และพูดไม่หยุด ทำเหมือนกับรู้จักกันมานาน
“คะ…คุณคะ ปะ…ปล่อยก่อนได้ไหม คือฉันไม่รู้จักคุณ” ไหล่เธอถูกผลักออกทันที พร้อมกับคิ้วที่ผูกกันเป็นปมของเพื่อน
“พูดบ้าอะไรของเธอ ฉันเจียวหมี่ไง เราเป็นเพื่อนกันมาสิบปีแล้วนะ ทำไมถึงทำเหมือนจำกันไม่ได้ล่ะ”
“เจียวหมี่เหรอ ฉะ…ฉัน” เสียงเธอต้องหยุดชะงักลง เพราะมีกลุ่มคนกำลังเดินเข้ามาในซอย และการแต่งตัวเท่าที่มองเห็นคือทั้งหมดอยู่ในชุดทหารสมัยก่อน
“แถวนี้มีถ่ายหนังงั้นเหรอ” หันมาถามคนที่กำลังพยุงเธอลุก
“เงียบก่อน คนพวกนี้อาจเป็นลูกน้องของนายพลมู่ ดึกขนาดนี้แล้วแต่พวกเรายังอยู่ที่นี่ พวกเขาต้องจับเราไปสอบสวนแน่” หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเอียงหน้ากระซิบบอก
‘นะ…นายพลบ้าบออะไร ทำไมผู้หญิงคนนี่ถึงได้เพี้ยนจัง’ นึกต่อว่าอีกฝ่ายในใจ สายตาก็กวาดมองไปเรื่อย
ก่อนจะถูกดันให้ขยับไปยืนอยู่ข้างหลัง แต่ขาเธอเตะไปโดนบางอย่างเข้า เลยตั้งใจจะก้มเก็บขึ้นมาดูว่ามันคือสิ่งที่คิดไหม
ทว่าหนึ่งในสามกลับตะคอกใส่เสียงดัง พร้อมกับชักปืนออกมา ทำให้ร่างที่กำลังอิดโรยสะดุ้งโหยงทรุดลงนั่งแหมะทันที
“หยุดก่อน เราแค่ถูกคนรังแก เพื่อนฉันถูกทำร้ายเธอพึ่งได้สติ ทำให้เรายังต้องอยู่ตรงนี้ ได้โปรดเชื่อฉันเถอะค่ะ” เจียวหมี่รีบบอกถึงเหตุผล เพราะกลัวว่าตัวเองและเพื่อนรักจะถูกจับ
“เกิดอะไรขึ้น ใครทำร้ายพวกเธอ”
“ฉันไม่รู้ค่ะ พอดีเพื่อนฉันหายก็เลยออกมาตาม ถึงได้พบว่าเธอนอนหมดสติอยู่ในตรอกนี้ คุณเห็นไหมเธอมีเลือดออกทางปาก หน้าตาก็บวมแดงเพราะถูกตบตี” เจียวหมี่รายงาน พร้อมกับจับคางเพื่อนรักเอียงให้ทั้งสามดู
ลู่จินผิงยังคงมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอกะพริบตาถี่มองคนแปลกหน้าที่บอกว่าเป็นเพื่อนรักกันมาสิบปี และชายหนุ่มสามคนที่แต่งตัวด้วยชุดทหารสีขี้ม้า
ทุกอย่างมันชวนให้ลู่จินผิงอดกังวลไม่ได้ ถ้าที่นี่คือกองถ่าย แล้วไหนล่ะกล้อง หรือว่าใช้โดรนถ่าย แต่เงยหน้าขึ้นไปก็ไม่มีอะไร ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เธอกำอยู่ในมือตอนนี้ก็คือ
นิยายเรื่องที่ยังอ่านค้างอยู่ มันอยู่กับเธอได้ยังไง
เธอจมน้ำไม่ใช่เหรอ ความรู้สึกตอนนั้นยังจำได้อยู่เลย มันทรมานและหายใจไม่ออก จนทุกอย่างดับวูบไป แล้วทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นโรงพยาบาล
หรือว่าเธอตายไปตั้งแต่ตอนนั้น แล้วที่นี่มันที่ไหนกันล่ะ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะยกสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นมาดู
“คงไม่หรอกนะ”