11. เริ่มไม่ปลอดภัย
หย่งชุนเดินตามประกบจินผิงจนไหล่แทบจะชนกัน มือเขาก็พยายามยื่นออกมาเพื่อจะจับจูงอีกฝ่าย แต่เธอก็ทำเป็นยกขึ้นมาลูบผมลูบแขนบ้างตลอดทาง ทำให้เขาต้องพลาดโอกาสไป แต่ก่อนเวลาอยู่ด้วยกันจินผิงไม่เคยมีท่าทางแบบนี้
เธอพูดจาหวานหู ออดอ้อนเก่งมาก ยิ่งเวลาอยากได้ของจะยิ่งทำตัวน่ารัก ยิ้มเก่ง ไม่ได้มีท่าทีเฉยชาใส่เขาเลย และมันก็เป็นมาตั้งแต่เธอกลับจากโรงพยาบาล เธอเย็นชาและนิ่งขึ้น ทำเหมือนไม่รู้จักเขาเสียอย่างนั้น เวลามองก็ไม่มีท่าทางเอียงอาย
“ขอบคุณนะคะที่เดินมาเป็นเพื่อนฉันขอตัวนะ” คำพูดของเธอมันดูห่างเหินมาก ทำใจแกร่งวูบไหวไร้สาเหตุทันที
“จินผิง ทำไมน้องถึงไม่เหมือนเดิมเลย” ในที่สุดเขาก็เอ่ยในสิ่งที่คิดออกมา ซึ่งมันก็ทำให้คนที่หาโอกาสอยู่ได้พูดเหมือนกัน
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่รู้ว่าเมื่อก่อนตัวเองเป็นยังไง และเรามีความสัมพันธ์กันแบบไหน เรื่องก่อนเข้าโรงพยาบาลฉันจำอะไรไม่ได้เลย ความรู้สึกหรือผู้คนในหัวฉันไม่มีเรื่องพวกนี้ ฉันเห็นคุณเป็นแค่เพื่อนบ้านและรู้สึกแปลกหน้าด้วยซ้ำ ขอโทษจริง ๆ ที่ต้องพูดแบบนี้นะคะ แต่พูดความจริงมันน่าจะดีต่อเราทั้งคู่มากกว่า ฉันขอตัวนะ” พูดจบเธอก็เดินเข้าบ้าน ไม่นานประตูก็ปิดลง
“ต้องพูดขนาดนี้เลยเหรอ” เจียวหมี่เดินเข้ามาประคอง เธอเป็นห่วงเพื่อนจนนั่งไม่ติด พอออกไปตามก็เจอกับต่วนหลี่พอดี เขาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงมีคนตามดูแลจินผิงอยู่ เธอเลยเบาใจ
“อืม ก็ฉันจำอะไรไม่ได้นี่ อีกอย่างเธอก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าแต่ก่อนฉันทำดีกับพี่เขาก็เพื่อหลอกเอาเงินเท่านั้น ไม่ได้ชอบเขาสักนิด ถ้าบอกความจริงเรื่องนี้ไปฉันก็กลัวเขาจะรับไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะชอบฉันมากด้วย ไม่รู้เมื่อก่อนไปให้ความหวังเขาขนาดไหน” ทำหน้าเบื่อขึ้นมาทันที
“ฉันก็หวังว่าพี่เขาจะเข้าใจนะ พี่หย่งชุนชอบเธอมาก ถึงขนาดไม่ยอมแต่งงานกับคนที่แม่หาให้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าก่อนนี้เธอไปพูดอะไรไว้ พี่เขาถึงปักใจกับเธอนัก”
“จริงเหรอ? บ้าไปแล้ว นี่ลู่จินผิงทิ้งอะไรไว้ให้ฉันบ้างเนี่ยะ ทำไมแต่ละอย่างมันถึงได้แก้ยากนัก” บ่นออกมาอย่างลืมตัว และมันก็ทำให้คนที่นั่งทำการบ้านอยู่ต้องวิ่งออกมาฟังด้วย
“มีอะไรเหรอพี่ ใครบ้า” จางเป่าคิดว่าพี่สาวที่พึ่งกลับมาไปเจอกับอะไรที่น่าตื่นเต้น ความอยากรู้ของเด็กเลยทำให้ต้องถาม
“แหะ ๆ ไม่มีอะไร พี่ก็พูดไปเรื่อย กลับไปทำการบ้านเถอะ” ยิ้มแหยส่งให้ทั้งพี่ทั้งน้อง เพราะเจียวหมี่มองเธอเหมือนตัวประหลาดเลย มันก็ไม่แปลกหรอกเพราะคำพูดเมื่อกี๊มันฟังดูเหมือนคนบ้าที่พูดไปเรื่อย มีที่ไหนก่นด่าตัวเองก็เป็น
“ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ” หาทางเลี่ยงทันที เจียวหมี่ก็ได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจ เพื่อนสนิทดูเหมือนจะแปลกออกไปจากแต่ก่อนทุกวัน มีทั้งดีและเพี้ยนจนบางทีเธออดกังวลไม่ได้
“จินผิงคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เรื่องที่พูดให้ฟังมันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดใช่ไหม หรือว่ายาพิษนั้นมันมีผลต่อร่างกายเธอ เลยทำให้กลายเป็นคนละคนแบบนี้” จินตนาการของเจียวหมี่ถือว่าไปไกลพอสมควร เธอกำลังคิดว่าสาเหตุที่เพื่อนไม่เหมือนเดิมเป็นเพราะยาพิษ
แต่พอคิดแล้วคิดอีกเธอก็ว่ามันดีกว่าเมื่อก่อน สุดท้ายเลยละทิ้งความตั้งใจที่จะพาเพื่อนไปหาหมอ คิดว่าปล่อยไว้แบบนี้น่าจะดีกว่า ขอแค่จินผิงไม่เจ็บป่วยก็พอแล้ว
คิดได้แบบนั้นเธอก็เดินเข้าบ้าน ปิดประตูลงกลอน ค่ำคืนแห่งความสุขก็ผ่านไปอีกวัน และมันก็เริ่มใหม่วนไปเหมือนเดิม นั่นคือตื่นขึ้นมาเตรียมของออกไปขาย และยังมีเมนูเพิ่มขึ้นมาด้วยหลายอย่าง อาทิเช่น หมูย่างกับข้าวเหนียว อาหารสำหรับคนต้องการความเร่งด่วน ตรงนี้จินผิงจำมาจากตอนที่เธอไปเที่ยวเมืองไทย ลองผิดลองถูกอยู่หลายวัน จนได้รสชาตที่ถูกปากผู้คน และยังย่างใส่กล่องสำหรับห่อไปทำงานได้ด้วย ถูกใจหนุ่มสาวโรงงานแถบนี้เป็นอย่างมาก
อีกเมนูก็คือ ข้าวผัดไข่ที่ทำขึ้นแบบง่าย ๆ ใส่กล่องบรรจุอย่างดี ซึ่งของเหล่านี้เธอสั่งทำมา มีให้สำหรับลูกค้าประจำเท่านั้น และต้องจ่ายค่ามัดจำกล่องเผื่อพวกเขาทำหายด้วย
ทุกอย่างมันมีต้นทุน จินผิงได้กล่าวไว้
และตั้งแต่หายดีเธอก็ออกมาช่วยขายอาหารทุกวัน เพราะลูกค้าเยอะต้องยืนเรียงแถวต่อคิวทุกเช้า ส่วนมากเป็นหนุ่ม ๆ ไม่รู้มาซื้อของกิน หรือมาจีบแม่ค้ากันแน่ เพราะทั้งคู่สวยน่ารักขึ้นมาก หน้าตาสดใสผิวพรรณก็ผุดผ่องผิดหูผิดตาจากเมื่อก่อน ทั้งที่มันพึ่งผ่านมาแค่สองอาทิตย์เอง
แต่งตัวก็ทันสมัย ใส่ชุดกระโปรงมีสีสัน ไม่ใช่กางเกงขายาวเสื้อแขนยาวเหมือนเมื่อก่อน มันขับให้แม่ค้าดูโดดเด่นน่าสนใจมาก ใครผ่านทางสายนี้เป็นต้องจอดแวะทุกราย
ยกเว้นผู้ชายที่มากับภรรยา
“เหนื่อยไหม” เจียวหมี่ถามเพื่อนรัก ทั้งคู่กำลังเข็นรถกลับ หลังจากขายทุกอย่างหมดเกลี้ยงแล้ว
“เหนื่อยแต่สนุก” บอกแล้วก็ยิ้มแป้นเหมือนเคย
“เจี่ยวหมี่ จินผิง บังเอิญจังเลย เธออยู่แถวนี้เหรอ” เสียงเรียกของใครบางคนดังมาให้ทั้งคู้หันไปสนใจ อีกฝั่งของถนนคือรถหรูราคาหลายแสน คนที่กำลังหาเก็บอย่างพวกเธอคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะได้ครอบครองมัน
“คุณหนูม่านชิง คุณหนูม่านเอ๋อร์ คุณหนูเจียงอวี้ สวัสดีค่ะ ไม่คิดว่าจะได้เจอพวกคุณที่นี่เหมือนกัน” จินผิงทักทายเสียงอ่อน เธอพยายามจะไม่หาเรื่องอีกนั่นแหละ ชีวิตตอนนี้มันสงบสุขดีแล้ว เลยไม่อยากสร้างปัญหาอีก
“เราพึ่งกลับมาจากสอบที่ปักกิ่ง ดีจังเลยที่ได้เจอพวกเธอ นี่กำลังเก็บของกลับบ้านเหรอ พอดีเลย เราขอแวะไปได้ไหม” เจียงอวี้พูดขึ้น น่าแปลกที่ถ้อยคำของเธอมันดูเป็นมิตรเกินไป ขนาดเพื่อนที่มาด้วยกันยังขมวดคิ้วตามเลย
“เอ่อ บ้านเรารกและคับแคบค่ะ คงไม่เหมาะกับคุณหนูอย่างพวกคุณ อย่าไปเลยนะคะ” จินผิงรีบหาทางปฎิเสธ
อันที่จริงเธอเห็นรถคันนี้จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนหลักแล้ว และมันก็นานเป็นชั่วโมงเลย เป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญพบกัน
“ไม่เป็นไร เราอยากไป” ม่านชิงพูดขึ้นบ้าง ทำให้สองสาวจำต้องเข็นรถนำทางไปที่บ้านพัก จนกระทั่งมาถึงคุณหนูทั้งสามก็ลงมาจากรถและเดินเข้ามาเพื่อสำรวจด้านใน โดยมีผู้ติดตามยืนรออยู่ด้านนอก และมันก็มีมากถึงห้าคน
“น้ำค่ะ ไม่เย็นนะคะ” จินผิงยื่นแก้วน้ำเก่า ๆ ส่งให้ อันที่จริงในบ้านก็มีอันใหม่ แต่ตั้งใจเอาแบบนี้ออกมารับรองมากกว่า
“ไม่เป็นไรเราเรียบร้อยมาแล้ว” ม่านเอ๋อร์ตอบอย่างเกรงใจ สายตาเธอเอาแต่มองแก้วน้ำสแตนเลสเก่า ๆ ซึ่งมีสนิมเกาะด้วย เธอยิ้มแหยส่งให้เจ้าของบ้าน เขาเชิญให้นั่งก็ไม่กล้านั่ง
“อึดอัดใช่ไหมคะ บอกแล้วว่ามันไม่ใช่ที่ที่ควรมา ไม่ต้องฝืนนะคะ” จินผิงพูดสิ่งที่อยู่ในใจของคนทั้งสามออกมา อย่างกับเธอเข้าไปนั่งอยู่ในนั้นเลย ทั้งที่ยังไม่มีใครพูดอะไร
“เออพอดีฉันนึกได้ว่ามีธุระ ขอตัวนะ” เจียงอวี้พูดขึ้น
แล้วเธอก็เดินนำออกไปไม่รอใครเลย
“เอ่อ เราไปนะ” ม่านเอ๋อร์หันมาโบกมือแล้วยิ้มแห้ง คงมีแค่ม่านชิงที่ยังมองสำรวจไปโดยรอบ ก่อนจะหันมาทำหน้าเรียบเฉย
“อยู่เข้าไปได้ไง หายใจไม่ออก” พอเห็นสภาพความเป็นอยู่ของทั้งคู่ ม่านชิงก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป ใครมันจะไปคบกับคนจนแบบนี้กัน แม้แต่แก้วกินน้ำยังขึ้นสนิม น่าสมเพชจริง ๆ
สองสาวเดินออกมาหน้าบ้าน มองรถที่เคลื่อนออกไปแล้ว
“วันนี้เก็บของเลยนะ อีกสองวันเราจะย้ายไปบ้านหลังใหม่เลย ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้” ปากเธอพูดกับเพื่อน แต่ตายังมองรถที่เคลื่อนไปจนลับตา ก่อนจะหันมาที่รถอีกคันที่จอดห่างออกไปอีกทาง ตั้งแต่มีคนตามเธอวันนั้น รถของคุณชายมู่ก็สิงสถิตอยู่ในซอยนี้ เช้าเย็นเป็นต้องเห็นตลอด
แต่จะว่าไป เขาก็คงทำงานนั่นแหละ
#อีพี่เป็นผีเฝ้าซอยไปซะแล้ว 555