12. อย่างกับผัวเมียทะเลาะกัน
เจียวหมี่มองสีหน้าจินผิงแล้วก็อดกังวลไม่ได้ เพื่อนสนิทเธอเวลาทำหน้าแบบนี้อีกไม่นานมันก็จะเกิดเรื่องไม่ดี
“เธอคิดว่าสามคนนี้จะไม่เป็นมิตรงั้นเหรอ” ความสงสัยที่มีทำให้เธออดถามไม่ได้ จินผิงเลยดันเธอเข้าบ้าน แล้วเล่าเรื่องวันที่ไปทานข้าวกับสามสาวให้ฟัง ทำให้เจียวหมี่ตกใจมาก
“งั้นฉันจะรีบเก็บของนะ แต่เดี๋ยวสิ ทำไมจางเป่าไม่ออกมารับเรา ทั้งที่มีแขกมาบ้านแท้ ๆ” นึกขึ้นได้เจียวหมี่ก็รีบตรงเข้าบ้าน ทุกอย่างว่างเปล่ากระเป๋าก็ไม่เห็น
“ฉันจะไปดูที่โรงเรียน เธอหาแถวนี้นะ” จินผิงแนะ แต่พอเปิดประตูเดินออกมาก็เห็นต่วนหลี่จอดจักรยานพอดี
“ทะ…ทำไมมาด้วยกัน” เจียวหมี่ถามเสียงตื่นติดขัด
“ฉันเห็นว่าเลยเวลามานานแล้วแต่จางเป่ายังไม่กลับ ก็เลยปั่นจักรยานไปดู เห็นกำลังเดินกลับมาพอดีก็เลยพามาด้วย” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวเด็กชายที่ดูตื่น ๆ อยู่ ตอนที่เขาไปเจอคือจางเป่ากำลังวิ่งหนีหมาพอดี
“ดะ…เดินเหรอ โรงเรียนอยู่ไกลจากที่นี่ห้ากิโลเลยนะ จางเป่า น้องเดินมาไกลแค่ไหนเนี่ยะ” เจียวหมี่พูดไปก็จะร้องไห้ไป นึกสงสารน้องชายที่ถูกทิ้งไว้ ปกติหย่งชุนจะรับมาด้วย เพราะจักรยานเขามันใหญ่นั่งเบี่ยงตัวข้างหน้าได้อีกคน
“ขอโทษนะเจียวหมี่ จางเป่า คงเป็นเพราะพี่เอง” จินผิงพอจะรู้สาเหตุที่เพื่อนบ้านทำแบบนี้ หลังจากเธอปฎิเสธหย่งชุนวันนั้น เขาก็ตามตื๊อเธอไม่หยุด และขู่ว่าจะไม่รับส่งจางเป่าอีก
และเขาก็ทำจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่บอกกล่าวด้วย ทิ้งเด็กสิบสองขวบให้เดินกลับบ้านคนเดียวโดยไม่ห่วงความปลอดภัยเลยสักนิด คนแบบนี้เหรอจะให้เธอชอบ
“ไม่เอาอย่าโทษตัวเองเลยนะ เธอไม่ผิดสักนิด เขาต่างหาก คนไม่รู้สึกจะมาบังคับกันได้ยังไง” เจียวหมี่หันมาปลอบเพื่อน
“มีอะไรกัน ไปรับมาแล้วทำไมไม่เข้าบ้าน” เสียงจากคนตัวสูงดังขึ้นทันทีที่เดินมาถึง และไม่รอให้ใครเชื้อเชิญเขาก็เดินเข้าไปนั่งที่แคร่มุมสวนก่อนแล้ว ที่เหลือเลยต้องเดินตาม
“คุณให้พี่ต่วนหลี่ไปรับจางเป่าเหรอ”
คิ้วหนาย่นเข้าหากันทันที เมื่อได้ยินคำเรียกที่เธอใช้กับลูกน้องเขา “พี่ต่วนหลี่เหรอ ดูสนิทกันดีนะ” ประโยคเขามันฟังดูแปลก ๆ ยังไงพิกล ทว่ามันไม่ตรงกับคำถามที่เธอพูดเมื่อกี๊เลย
“พี่ต่วนหลี่ดีกับพวกเรามากค่ะ บางวันพี่เขาก็มาช่วยเข็นรถออกไปตั้งร้าน บางทีก็ไปช่วยถือของที่ตลาด เราก็เลยเรียกแบบนี้” เจียวหมี่บอกเสียงเบา กลัวเขาคิดว่าพวกเธออยากตีสนิท
“ช่วยเข็นรถ ช่วยตั้งร้าน ช่วยจ่ายตลาดถือของให้ด้วย” ประโยคทั้งหมดเขาหันไปหาลูกน้องคนสนิท ซึ่งตอนนี้ยืนยิ้มแฉ่งส่งให้ ต่วนหลี่รู้ดีว่าเขาทำเกินหน้าที่ไปจริง ๆ
โจเยว่สั่งให้เขามาช่วยเข็นรถออกไปตั้งร้านจริง เพราะกลัวว่าคนที่คิดร้ายจะลงมือช่วงนี้ เพราะมันเช้าเกินบนถนนแทบไม่มีคนเดินเลย ส่วนมากคนกำลังเตรียมตัวกันอยู่ในบ้านมากกว่า และสองสาวนี้ก็เปลี่ยนเวลาออกไปขายด้วย จากเจ็ดโมงเช้าเป็นตีห้าครึ่ง ซึ่งมันเป็นเวลาที่หลาย ๆ คนยังนอนสบายอยู่เลย
แต่ไอ้เรื่องไปจ่ายตลาดช่วยเจียวหมี่นี่เขาไม่ได้สั่งสักนิด สงสัยจะมีนอกรอบอะไรกับเธอคนนี้แน่ ๆ
“ช่างเถอะ แล้วนี่จะย้ายบ้านกันเมื่อไหร่” เงยหน้าขึ้นมาถามคนที่ยืนมองเขาอยู่ พอเห็นเธอจ้องโจเยว่เลยเบี่ยงหน้าหนี
“ตอนแรกว่าจะย้ายอาทิตย์หน้า แต่คิดไปคิดมาน่าจะวันมะรืนนี้แหละค่ะ เราอยากไปอยู่บ้านใหม่เต็มทีแล้ว” พูดเหมือนเห่อของใหม่ แต่ความเป็นจริงคือหนีคนต่างหาก
“งั้นเหรอ คิดว่าจะย้ายบ้านหนีผู้ชายซะอีก”
“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าคุณเป็นใบ้หรอก แล้วนี่ไม่มีการมีงานทำเหรอ มานั่งเฝ้าทำไมไม่ทราบ” ฟังเธอพูดเข้า
มู่โจเยว่ไปที่ไหนมีแต่คนต้อนรับ แต่เธอคนนี้กลับพูดจาไม่มีหางเสียง และยังไล่เขาอีก อุตส่าห์ส่งคนมาเฝ้ายามให้ตลอดทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหลับคารถแทบทุกวัน
มีน้ำใจตักน้ำมาให้กินหน่อยก็ไม่ได้
จู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้น มองหน้าคนตัวเล็กที่สูงแค่ไหล่พร้อมกับหลับตาค้อนเข้าให้ ก่อนจะเดินออกไปไม่พูดไม่จา
จินผิงมองตามพร้อมกับทำตาโต หันมาหาเพื่อนสนิทและต่วนหลี่ที่ยิ้มแห้งมึนงงไม่แพ้กัน และน่าจะเป็นพวกเขาด้วยที่สงสัยหนักกว่าสองสาว พอเดินออกมาจากบ้านได้ก็ตั้งคำถามกันยกใหญ่ โดยเฉพาะจ้าวเหว่ยที่ไม่เคยเห็นอาการแบบนี้เลย
“ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า เมื่อกี๊คุณชายค้อนจินผิง”
“นั่นสิ ฉันก็เห็น” ต่วนหลี่พูดขึ้นพร้อมกับจูงจักรยานมาด้วย
“เงียบเลยพวกนาย” เจียหยางเตือน เพราะทั้งสามคนเดินมาถึงรถแล้ว และหน้าเจ้านายก็ดูไม่สบอารมณ์เลยสักนิด นั่งหันหน้าออกไปมองกำแพงไม่พูดไม่จาไม่สนอะไรเลย
“เอ่อ…กลับบ้านไหมครับ” เจียหยางถามขึ้นหลังจากเข้ามานั่งประจำที่คนขับแล้ว มีจ้าวเหว่ยอยู่อีกฝั่ง ต้วนหลี่เขามีหน้าที่เฝ้ายามวันนี้ และช่วงหลังเขาก็มักจะไม่ค่อยกลับห้องพัก ถึงแม้จะไม่มีงานก็ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ตลอด
“พวกแกอยากไปไหนก็ไป ทิ้งรถไว้ที่นี่” เป็นอันรู้กันว่าเจ้านายจะอยู่เฝ้าซอยอีก เจียหยางเลยต้องลงจากรถ เพราะมันเลยเวลาเลิกงานนานแล้ว เขาต้องรีบกลับไปดูแลภรรยาที่กำลังท้อง เลยอยู่ทั้งวันเหมือนคนอื่นไม่ได้ นอกจากงานด่วนจริง ๆ
“งั้นผมไปนะครับ” โน้มหน้าลงมาบอกเจ้านาย อีกฝ่ายก็ตอบรับในลำคอเท่านั้น สายตาก็ยังมองไปที่กำแพงเหมือนเดิม ส่วนจ้าวเหว่ยคนก็นั่งอยู่ที่เดิม สอดส่องผู้คนในซอยต่อ
ต่วนหลี่นั่นปั่นจักรยานออกไปแล้ว เขาไม่ได้พาเจี่ยวหมี่ไปซื้อของ เพราะพวกเธอหยุดสองวันเพื่อเก็บของเตรียมย้ายบ้าน และเขาก็ลางานเอาไว้แล้วเพื่อมาช่วย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หกโมงเย็นพอดี
ประตูบ้านของสองสาวถูกเปิดออกมา พร้อมกับร่างเล็กของจินผิง เธอเดินตรงเข้ามาหารถคันหรูสีดำสนิท กระจกถูกหมุนลงทันที คนที่นั่งนิ่งอยู่นานขยับมานั่งติดประตูฝั่งถนน สร้างความประหลาดใจให้กับลูกน้องอีกแล้ว แต่ก็ทำได้แค่มอง
“มีอะไร” เสียงถามดังขึ้นดูเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก
“ฉันทำข้าวมาให้จะกินไหม” อีกคนก็ช่างกระไร น้ำเสียงที่พูดมาไม่ต่างกันเลย ไม่มีความหวานสักนิด
“เอามาสิ ก็ดีกว่าเปลืองเงินซื้อ” คนในรถตอบกลับ พร้อมกับยื่นมือออกมารับกล่องอาหาร ซึ่งมีสายตาจ้าวเหว่ยมองอย่างไม่เข้าใจ สลับไปมาระหว่างคนนอกรถกับในรถ
จินผิงยื่นกล่องส่งเข้าไปในรถ เธอไม่ได้มองมันด้วยซ้ำ คนรับก็รับมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แต่พอมือสัมผัสกับกล่องเท่านั้นแหละ อาการของทั้งคู่ก็ต่างออกไป เพราะโจเยว่ใช้สองมือรับและมันก็กุมเอามือเล็กที่จับกล่องอยู่ทันที
“แล้วของผมล่ะ” เสียงขัดจังหวะดังขึ้น
จินผิงรีบชักมือกลับแต่เหมือนมันจะติด เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ทำให้เธอต้องก้มหน้าลงมามองเขา ซึ่งมันเป็นจังหวะที่โจเยว่ชะโงกหน้าออกมาเพื่อจะขอบคุณ ทำให้ใบหน้าอยู่ห่างกันแค่ปลายจมูก ต่างฝ่ายต่างนิ่งงัน แต่เสียงหัวใจกลับเต้นแรงจนได้ยินเสียงมันชัดเจน ส่วนจ้าวเหว่ยนั้นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
แก้มขาวขึ้นเป็นสีเรื่อทันที ดวงตาสวยก็กะพริบถี่เอาแต่จ้องตาอีกฝ่าย กว่าจะเรียกสติคืนมาได้หน้าก็แดงไปถึงหูแล้ว ไม่ต่างจากคนในรถเลย ถ้าเป็นกลางวันคงเห็นชัดกว่านี้แน่
“ขอบใจนะ” เสียงทุ้มอ่อนเปล่งออกมาแผ่วเบา ลมหายใจเขามันเป่ารดแก้มเธอจนจินผิงต้องรีบขยับถอยออกมา เธอหมุนตัวเดินหนีเพื่อจะกลับบ้านทันที
“เดี๋ยว! ของฉันล่ะ ฉันก็กินข้าวเป็นนะ” จ้าวเหว่ยตะโกนใส่
เท้าเล็กหยุดชะงัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องให้อีกคนด้วย เธอเลยเดินกลับมาก่อนจะยื่นมันส่งให้ทั้งถุง “กินให้อร่อยนะคะ” พูดจบก็หมุนตัวกลับ มองซ้ายขวาแล้วก็วิ่งข้ามถนนเข้าบ้าน
ใครบางคนเม้มปากสายตาเขามองตามอย่างชอบใจ จนกระทั่งประตูนั้นปิดลง ก็หันมามองกล่องข้าวในมือต่อ โดยไม่รู้เลยว่าลูกน้องที่นั่งอยู่ข้างหน้ากำลังจ้องเขาอยู่
‘เห้ย! คุณชายยิ้ม บอกไปใครจะเชื่อ’ จ้าวเหว่ยนึกในใจ ก่อนจะรีบหันกลับมากลบเกลื่อนอาการของตัวเอง ถ้าขืนเจ้านายรู้ว่าเขาเห็นท่าทางเมื่อกี๊มีหวังถูกหมายหัวแน่
“น่ากินนะครับ” แกล้งพูดหลังจากเปิดกล่องอาหารแล้ว
“อืม น่ากิน” ตอบลูกน้อง แต่ตามองไปที่ประตูบ้านสาว
ตอนนี้จ้าวเหว่ยชักไม่แน่ใจแล้วว่า น่ากิน ของเจ้านายหมายถึงข้าว หรือคนกันแน่ เพราะเท่าที่เห็นเมื่อกี๊คุณชายมู่ทำท่าเหมือนจะเขมิบจินผิงเลย
#แหนะ! อีผีประจำซอยคิดไม่ซื่อซะแล้ว 555