บทที่ 8 การเจอกันครั้งแรกของพระเอก 1.3
เบลล์ทิ้งคำพูดร้ายกาจซึ่งรู้ว่าพระเอกนั้นเข้าใจดีว่าเธอหมายถึงอะไร
ส่วนเหมันต์ที่เพิ่งถูกหลอกด่าว่าหูเบาก็ได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเขาหันไปมองหน้ากชนิภที่ยืนหน้าซีดแค่นี้ก็รู้ว่าเกิดอะไรเขาเดินหันหลังกลับทันทีทั้งที่ตั้งใจว่าจะมาออกกำลังกายแต่เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นทำเอาเขาหมดอารมณ์ขึ้นมาไหนจะเรื่องที่คู่หมั้นแอบด่าว่าเขาหูเบานั่นอีก
กชนิภพอเห็นว่าเรื่องไม่ได้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการแถมเหมันต์คนที่คอยช่วยเหลือเธอมาตลอดกลับทำท่าเปลี่ยนไปหลังจากเห็นรอยแผลที่แขนยัยอ้วนนั่นแต่เธอไม่ยอมรับหรอกแค่บอกว่าเป็นอุบัติเหตุก็ได้แค่ออดอ้อนนิดหน่อยพี่เหมก็น่าจะเข้าใจกชนิภคิดเขาข้างตัวเองก่อนจะวิ่งตามเหมันต์ออกไป
"พี่เหมคะ" กชนิภตะโกนเรียกเหมันต์ในตอนที่เหมันต์กำลังจะกดเปิดประตูรถเหมันต์หันกลับมามองกชนิภที่วิ่งตามมาด้วยอาการกระหืดกระหอบพอมาถึงก็ทำท่าจะล้มจนเหมันต์เข้าไปช่วยประคองกลายเป็นการโอบร่างของเธอกลาย ๆ
"วิ่งตามมาทำไมครับเดี๋ยวก็อาการกำเริบ" เหมันต์ปรับเสียงให้อ่อนลงมองเด็กสาวด้วยสายตาอ่อนแสงพอเห็นหน้าตาที่ไร้สีเลือดคล้ายคนอ่อนแรงก็ทำใจแข็งโกรธเธอไม่ลง
"ขอโทษค่ะพอดีกชรีบกลัวตามที่เหมไม่ทัน เรื่องเมื่อกี้กชอธิบายได้นะคะกชไม่ได้ตั้งใจมันเป็นอุบัติเหตุ กชกำลังตกใจแค่อยากจะช่วยพี่สาวเท่านั้นเองค่ะ ก็พี่เหมทำท่าน่ากลัวกชก็ไม่คิดว่าเล็บของกชจะกดลงไปแรงขนาดนั้น" กชนิภพูดพร้อมทำหน้าเศร้าทำดวงตาเอ่อท้นไปด้วยน้ำตาทำเอาเหมันต์ใจอ่อน
"ครับไม่ได้ตั้งใจก็ไม่เป็นไร วันหลังก็ระวังหน่อยถ้าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรเธอขึ้นมาพี่อาจจะเข้าไปช่วยไม่ทัน" เหมันต์พูดเตือนด้วยความหวังดีมือหนายกมือลูบศีรษะหญิงสาวที่เปรียบเสมือนน้องสาวอีกคนเพราะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กถึงจะห่างกันไปบ้างในตอนที่เขาไปเรียนต่างประเทศแต่พอกลับมาเจอหน้ากันอีก เด็กสาวก็ยังคงน่ารักเหมือนเดิมไม่เหมือนคนเป็นพี่สาวที่ทำตัวร้ายมาตั้งแต่เด็กแต่การเจอกันครั้งนี้เหมือนจะแปลกไป
เพราะปกติผู้หญิงคนนั้นจะต้องอาละวาดด่ากราดน้องสาวทันทีที่เห็นหน้ายิ่งเห็นเขาอยู่ด้วย ผู้หญิงคนนั้นยิ่งทำท่าอยากจะฆ่าน้องสาวเธอให้ตายไม่มีใครไม่รู้เรื่องที่ทั้งสองคนทะเลาะกันจนตกน้ำตกท่าเป็นข่าวครึกโครมเมื่อหลายวันก่อน
แต่ครั้งนี้เหมันต์รู้สึกว่าบางอย่างมันเปลี่ยนไปแต่เหมันต์ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ปริ๊นน!! เสียงบีบแตรเรียกสายตาเหมันต์เขาหันไปมองรถยนต์ที่ไม่คุ้นตา แต่คนที่อยู่ในนั้นคุ้นตาแน่นอน ใบหน้าขาวอวบที่เห็นเพียงครึ่งหน้าเพราะแว่นกันแดดแบรนด์ดังปิดบังสายตาของเธอเลยไม่รู้ว่าเธอมองมาที่เขาด้วยสายตาแบบไหน แต่ที่รู้ ๆ คงไม่ใช่สายตาที่เทิดทูนไปด้วยความรักแน่ เพราะนิ้วกลางที่เธอชูหราอยู่นั่นมันบอกอารมณ์ทั้งหมด
เหมันต์มองตามท้ายรถด้วยสายตาตื่นตะลึงเช่นเดียวกับกชนิภที่ยืนอ้าปากพะงาบ ๆ ไม่มีเสียงพูดใด ๆ
"ฮ่า ฮ่า ทำหน้าตลกชะมัด" เบลล์ที่เพิ่งชูนิ้วกลางให้พ่อพระเอกถึงกับหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ เพราะพ่อพระเอกสุดฮอตที่ยืนมองมาที่เธอด้วยสายตาตื่นตะลึงนั้นมันโคตรได้ใจเธอเลย ใครจะคิดว่าพระเอกของเรื่องจะหลุดมาดหน้าเหวอเห็นบุคลิกนิ่งเฉยเย็นชาทั้งลูกน้องคนที่อยู่รอบตัวพากันกลัวหัวหด อ่อ..เห็นทีจะเหลือเอาไว้คนนึง แม่นางเอกสนิมสร้อยของเรื่องยังไงล่ะ เห็นจะมีคนเดียวที่พระเอกแสนเย็นชาจะยกเว้นดูจากสายตาที่มองไปยังแม่นางเอก แปลกนะบางทีคนฉลาดก็ไม่ได้ฉลาดเสมอไป รูปหล่อพ่อรวยโปรไฟล์ดีดีกรีนักเรียนนอกแต่เรื่องผู้หญิงทำไมถึงโง่นัก อย่างว่าแหละฉลาดแค่ไหนก็แพ้มารยาผู้หญิง เบลล์คิดอย่างสมเพช
ช่างเถอะแบบนี้แหละสมกันดีนัก หึ!เหมาะสมอย่างกับกิ่งทองใบหนาด ผีเน่ากับโลงผุ
...
หนึ่งเดือนต่อมา
เบลล์มาอาศัยร่างยัยตุ้ยนุ้ยนี่ครบหนึ่งเดือนแล้วและมันเป็นสิ่งที่เธอมีความสุขที่สุดตอนนี้ไม่ว่าเธอจะอยากได้อะไรเธอก็สามารถซื้อได้เลย เสื้อผ้าเครื่องสำอางแบรนด์ดังที่เธอเคยอยากได้ ตอนนี้ไม่เพียงแค่อยากต่อไปเพราะของทุกอย่างมันมาอยู่ในห้องเธอเต็มไปหมด อาทิตย์แรกเธอเอาแต่ชอปปิ้งเลือกซื้อของราวกับคุณหนู เธออยากได้อะไรเธอก็ซื้อเลยโดยไม่ต้องใช้เวลาเลือกสรรนานเพราะสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธออยากได้นานแล้วและการเป็นลูกหลานคนรวยมันดีแบบนี้นี่เอง เธอเพิ่งรู้ว่าเจ้าสัวไตรภพที่เป็นคุณปู่ของยัยตุ้ยนุ้ยเป็นถึงมหาเศรษฐีมรดกตกทอดของท่านมีตั้งมากมายและในตอนที่ท่านยังหนุ่มท่านยังทำธุรกิจอีกมากมายมีลูกน้องและพนักงานไม่ต่ำกว่าพันคน เบลล์ยอมรับเลยว่าท่านเจ้าสัวเก่งมาก แต่เรื่องเดียวที่ท่านเจ้าสัวลืมไปคือหลานสาวเพียงคนเดียวอย่างยัยตุ้ยนุ้ยเติบโตมาพร้อมกับการเลี้ยงดูที่ขาดการดูแลอย่างดเพราะม่านเจ้าสัวทำงานหนักมากจึงไม่มีเวลาใส่ใจหลานสาวเท่าไรนักมีเพียงเงินทองและอำนาจที่ท่านเจ้าสัวมอบให้เท่านั้น และมันเป็นสิ่งที่ทำให้ยัยตุ้ยนุ้ยขาดความรักและความอบอุ่นเธอจึงทำตัวไม่ต่างจากราชินีที่มีคนคอยรองรับอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง เฮ้อ..แต่ก็ช่างเถอะหวังว่าเธอจะไปดีแล้วนะ
แต่ว่ากลับมาโฟกัสตอนนี้
"กรี๊ด ๆๆ" เสียงร้องกรี๊ดกร๊าดที่ดังอยู่ในห้องนอนหญิงสาวทำเอาเปรียวที่กำลังจะเคาะประตูถือวิสาสะเปิดพรวดเข้ามาด้วยความตกใจ เปรียวรีบวิ่งมาดูคุณหนูของเธอหน้าตาตื่นเพราะกลัวว่าคุณหนูของเธอจะเกิดเรื่องแต่ไม่คิดว่าเข้ามาถึงจะเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแทน เปรียวถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วเดินไปหาคุณหนู
"เปรียว มาดูเร็วมาดูนี่เร็ว ๆ ช่วยดูหน่อยตาฉันไม่ฝาดจริง ๆ ใช่ไหม" เบลล์ยังคงดีใจสายตาไม่ละไปจากตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนเครื่องชั่งน้ำหนัก พอเห็นเปรียววิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นก็กวักมือเรียกยิก ๆ เปรียวเดินเข้ามาใกล้มองตัวเลขที่อยู่ตรงหน้า
"หกสิบห้า กรี๊ด...คุณเบลล์หกสิบห้า หกสิบห้าจริง ๆ" เปรียวจับมือเบลล์กรีดร้องผสมโรงด้วยความยินดี เบลล์ลงมาจากเครื่องชั่งดึงเปรียวเข้าไปกอดด้วยความดีใจพร้อมกับพูดไม่หยุดปากส่ายก้นเต้นระบำไม่หยุด ส่วนเปรียวที่โดนเจ้านายกระโดดเข้ากอดถึงกับยืนแข็งค้างเพราะเป็นครั้งแรกที่เจ้านายให้ความสนิทสนมไม่ถือตัวทำเอาเปรียวรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
"ใช่มั้ย ๆ ฉันทำได้ ฉันทำได้แล้วน้ำหนักฉันลดลงไปแล้ว เย้..ถ่ายรูป ๆ เปรียวถ่ายรูปให้หน่อย " เบลล์ที่ไม่รู้ถึงความรู้สึกเปรียวเพราะโฟกัสไปที่น้ำหนักที่ลงอย่างเร็วของตัวเองก็ยังดีใจไม่หาย พูดย้ำ ๆ กับเปรียวอยู่แบบนั้นก่อนที่จะโพสต์ท่าถ่ายรูปโชว์พุงขาวที่ยุบลงมา เธอตั้งใจว่าจะเก็บภาพพวกนี้เอาไว้เผื่อวันข้างหน้าเธอจะได้นำมันมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น
"ค่ะคุณเบลล์เก่งมาก" เปรียวถ่ายรูปตามที่เจ้านายโพสต์ท่าและยิ้มให้กับความพยายามของเจ้านายเธอเองก็ดีใจไม่น้อย เดือนที่ผ่านมาทุกอย่างในบ้านนี้ดูสดใสมากกว่าเดิมหลายเท่าเพราะคุณเบลล์ที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แบบว่าดีขึ้นมาก ๆ บรรดาคนรับใช้ที่เคยกลัวแค่ผ่านหน้ายังไม่กล้าแต่ตอนนี้ทุกคนกลับชื่นชอบคุณเบลล์พากันไม่ขาดปาก ว่าคุณเบลล์นั้นน่ารักกว่าเดิมร้อยเท่าตอนนี้บ้านทั้งบ้านไม่มีใครไม่มีรอยยิ้ม ขนาดนายท่านใหญ่ยามที่อยู่กับคุณเบลล์ยังยิ้มไม่หุบและดูเหมือนจะรักคุณเบลล์มากกว่าเดิมด้วยซ้ำขนาดว่าแต่ก่อนนายท่านใหญ่ก็รักคุณเบลล์มากแล้วนะ แต่เทียบกับตอนนี้ไม่ได้เลย