บทที่ 14 สัญญาแต่งสกุลเผย
เผยมู่ซีคุกเข่ายกน้ำชาคารวะอาจารย์จ้าวอีกครา
‘ชาติก่อนข้าเป็นศิษย์ที่ทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยนัก ท่านอาจารย์...ดีที่สวรรค์เมตตาให้ข้าได้จุติใหม่อีกหน ซ้ำยังมีวาสนาได้เป็นลูกศิษย์ท่านอีกครั้ง ชาตินี้ข้าจะทำให้ภูมิใจที่ได้สั่งสอนข้าผู้นี้’
น้ำตาของนางรื้นออกทางหางตา ชาติที่แล้วของนางมิได้ตั้งใจจะกราบคนผู้นี้เป็นอาจารย์ ยามนั้นเป็นเพราะท่านย่าบังคับ นางจึงจำใจคุกเข่ายกน้ำชาคารวะจ้าวอี้หลง ท่านย่ามุ่งหวังให้นางเชี่ยวชาญในศาสตร์ทั้งสี่ของวิญญูชน คือ การเขียนอักษร บรรเลงพิณ วาดภาพ และหมากล้อม ในส่วนของการเขียนอักษรนางเคยไปร่วมชั้นเรียนในจวนของขุนนางใหญ่พร้อมกับเผยหนิงเอ๋อร์บุตรสาวของถังฮูหยิน ภรรยาเอกคนใหม่ของบิดา แม้นางอยากจะนับเผยหนิงเอ๋อร์เป็นน้องแต่อีกฝ่ายมิเคยยินดี ส่วนการเรียนบรรเลงพิณและหมากล้อม ท่านย่ากลับไปส่งนางไปเรียนแยกจากเผยหนิงเอ๋อร์ทำให้นางค่อยเรียนได้อย่างโล่งใจ
‘ท่านย่า ข้าต้องกลับไปกราบท่านสักครั้งให้ได้!’
นางจำได้ว่าอาจารย์จ้าวเอื้อมระอากับความดื้อรั้นของตนเพียงใด กว่าจะเข้มงวดกวดขันให้นางมองเห็นสุนทรียภาพในการวาดภาพได้ก็นานนับปี ยามนั้นนางมีความขุ่นข้องหมองใจกับบิดาและมารดาเลี้ยงยิ่งนักจึงอาศัยการวาดรูปเพื่อปลอบประโลมจิตใจ ในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักที่ได้เรียนวาดรูปกับอาจารย์จ้าวปีแรกเรียกได้ว่านางคือศิษย์ที่ห่วยแตกที่สุด แต่ปีต่อมากลับเป็นนางที่ฝีมือก้าวหน้ายิ่งกว่าทุกคนจนอาจารย์ปลาบปลื้มกล่าวสรรเสริญเยินยอนางต่อหน้าท่านย่าและท่านพ่ออยู่หลายคราว จากนั้นเผยมู่ซีก็หันมาเอาใจใส่ฝึกวาดลายเส้นให้คมและร่างภาพให้แม่นยำ มากขึ้น น่าเสียดายความสามารถของนางที่กำลังจะเจิดจรัส...ที่นางกลายมาเป็นหมากตัวสำคัญให้บิดาไปสู่การกรุยทางสู่ความเป็นขุนนางใหญ่
“บัดนี้ข้าได้รับเจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว ชิงหลาน รอให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงและมีความพร้อมที่จะเข้าไปเรียนเพิ่มเติมในเมืองหลวง ข้าก็จะให้คนมารับเจ้า”
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์” เผยมู่ซีจำได้ว่าจวนสกุลจ้าวที่อยู่ด้านหลังสำนักพู่กันทองนั้นใหญ่โตกว้างขวาง ซ้ำยังอยู่ไม่ไกลจากจวนสกุลเผยนัก หากนางมีโอกาสได้เข้ามาอาศัยอยู่ในจวนนั้นก็ย่อมมีโอกาสจะลอบไปสังเกตการณ์ที่จวนสกุลเผยได้ไม่ยากเย็น ความหวังที่จะได้เห็นท่านย่าย่อมกลายเป็นจริง
จังฮูหยินปลาบปลื้มยิ่งนัก บุตรสาวของนางไม่เพียงร่างกายดีวันดีคืน หากแต่มีวาสนาได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหัวหน้าสำนักจิตรกรหลวง นั่นหมายถึงอนาคตของนางนับจากนี้ย่อมสดใส นางนึกถึงผ้ายันต์พับเป็นรูปสามเหลี่ยมที่สอดไว้ในเสื้อด้านใน หากมีโอกาสนางต้องไปกราบขอบพระคุณความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์ขาววัดหยกสวรรค์สักคราที่ประทานความสุขมาให้นางเสียที
“อาจารย์จ้าว ข้าน้อยกราบขอบพระคุณที่ท่านเมตตาหลานเอ๋อร์ พวกเราแม่ลูกอยู่ที่นี่เดิมทีก็แทบไม่มีความหวังใด ข้าน้อยเองก็อธิษฐานของพรเพียงให้นางมีสุขภาพแข็งแรงอยู่รอดปลอดภัย บัดนี้นับได้ว่าท่านมาทำให้นางมีอนาคตที่ดีกว่าที่ข้าน้อยคาดหวังเจ้าค่ะ”
“อย่าได้เกรงใจเลยฮูหยิน ชิงหลานสมควรได้รับโอกาสเพราะนางเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมหาใช่เป็นเพราะข้าไม่? ข้าเป็นเพียงผู้ที่ต้องการนำความสามารถของนางไปแสดงให้ทุกคนได้ประจักษ์เท่านั้น”
สองแม่ลูกคุกเข่าขอบคุณอาจารย์จ้าวอย่างจริงใจ ชายชรารีบแตะแขนคนทั้งสองให้ลุกขึ้น “อย่างไรก็ต้องรอให้นางสุขภาพร่างกายแข็งแรงและเลยวัยปักปิ่นไปเสียก่อน ข้าจึงจะพานางไปร่ำเรียนในเมืองหลวงได้”
“แล้วแต่ท่านอาจารย์จะเมตตาเจ้าค่ะ” จังฮูหยินยิ้มน้อยๆ นางภูมิใจในตัวบุตรสาวยิ่งนักรีบหันไปประคองร่างเล็กผอมบางให้ลุกขึ้น
“ชิงหลาน เจ้าตั้งใจวาดภาพฝาผนังให้เต็มที่เถิด ในกาลข้างหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาจักเสด็จมาทอดพระเนตรวิหารเก้าเทพอย่างแน่นอน ถึงวันนั้นต่อให้อาจารย์ไม่เอ่ยปากเยินยอเจ้า ฝีมือของเจ้าจะแสดงตัวต่อหน้าพระพักตร์เอง”
“ขอบพระคุณอาจารย์ที่สั่งสอนเจ้าค่ะ”
“วันนี้ตรวจงานชั้นบนเสร็จข้าก็จะกลับเมืองหลวง หากเจ้ามีปัญหาใดก็ให้คนส่งจดหมายไปหาข้าที่สำนักพู่กันทองเถิด”
องครักษ์กัวกับองครักษ์จงลอบมององค์ชายสิบห้าอยู่บ่อยครั้ง วันนี้พระองค์เหมือนทรงเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง สาส์นที่มาเมื่อเช้ามืดคงจะสร้างความกลัดกลุ้มให้กับองค์ชายไม่น้อย พวกเขาทั้งสองเป็นเพียงองครักษ์ไม่อาจจะซักไซ้เจ้านายได้ หากองค์ชายไม่เอ่ยออกมาเองผู้น้อยมีหรือจะกล้าเอ่ยถาม?
“ข้านึกว่าข้าจะรอดตัวแล้วเสียอีก...ในเมื่อว่าที่พระชายาก็ตายไปแล้ว ข้าคิดว่าข้าควรจะมีโอกาสได้เลือกสตรีที่ตนเองพึงใจมิใช่การคลุมถุงชน” องค์ชายที่นั่งมองออกไปนอกระเบียงเหลาสุราของคุณชายน้อยจั๋วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม องค์ชายทรงต้องอภิเษกกับผู้ใดอีกหรือ พะยะค่ะ?” กัวเฉินที่นั่งฝั่งตรงข้ามอดไม่ได้ องครักษ์จงรีบลอบเคาะหัวเข่าอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ข้างๆ ตนเองเบาๆ
หมิงเฉิงอวี่ถอนหายใจยาวก่อนจะมองหน้าองครักษ์ทั้งสองสลับกันไปมา การเป็นคนในราชวงศ์ช่างไว้ใจผู้อื่นได้ยากเย็น แม้แต่กับองครักษ์คนสนิทบางคราวก็ไม่อาจเอ่ยความคับข้องใจให้ฟังได้ทั้งหมด มีเพียงเรื่องนี้ที่เห็นว่าพูดแล้วมีผลทางการเมืองน้อยจึงพอจะเอ่ยได้บ้าง
“ใต้เท้าเผยดูเหมือนจะไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ยังกล้าไปเอ่ยกับเสด็จแม่ของข้าเพื่อเสนอบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินเอกคนปัจจุบันให้ข้า” หมิงเฉิงอวี่กระดกสุราเข้าปากอีกจอกหนึ่ง ใช่ว่าเขาจะเป็นองค์ชายโง่เง่าให้ผู้อื่นหลอกใช้ได้ง่ายๆ เมื่อคราวถูกเสนอสตรีสกุลเผยก็เกือบจะได้อภิเษกสมรสกับเผยหนิงเอ๋อไปแล้วคราหนึ่ง ดีที่ส่งกัวเฉินไปสืบเรื่องในตระกูลเผยจนรู้ว่าเผยหนิงเอ๋อมิใช่ตัวเลือกที่ดี นางเป็นบุตร ฮูหยินถังหนิงหวงผู้ชอบอวดโอ้และมักใหญ่ใฝ่สูง นิสัยส่วนตัวของนางที่ร่ำลือกันในหมู่สตรีชั้นสูงที่ไปร่วมห้องเรียนในจวนขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวตรงกันว่า เผยหนิงเอ๋อผู้นี้รังเกียจพี่สาวต่างมารดาเผยมู่ซียิ่งนัก ซ้ำยังแสดงตนว่าเหนือกว่าอยู่บ่อยครั้ง เผยมู่ซีเองก็มิใช่คนงอมืองอเท้า แม้นางจะไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดแต่ก็มิยอมให้ใครรังแก องค์ชายหมิงเฉิงอวี่เห็นว่าหากตนตบแต่งกับเผยมู่ซีย่อมต้องมีปัญหาน้อยกว่า อย่างน้อยมารดาของสตรีผู้นั้นก็สิ้นชีพไปนานแล้ว ไม่อาจจะเข้ามาสร้างปัญหาให้กับพระองค์ได้ ส่วนท่านย่าตระกูลเผยที่เลี้ยงนางมาก็เป็นคนรู้จักวางตัวอย่างยิ่ง
เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างสตรีทั้งสองโดยมิได้สนใจดูรูปร่างหน้าตา องค์ชาย สิบห้าจึงตอบใต้เท้าเผยไปว่ายินดีอภิเษกสมรสแต่ต้องเป็นคุณหนูใหญ่สกุลเผย...เผยมู่ซีเท่านั้น แม้ใต้เท้าเผยจะไม่ค่อยพอใจแต่ไม่อาจปฏิเสธเพราะนับกันตามศักดิ์แล้วเผยมู่ซีที่เป็นบุตรฮูหยินเอกคนแรกก็นับว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเผยอย่างแท้จริง สองสามีภรรยาตระกูลเผยจึงจำต้องให้เผยมู่ซีกลายเป็นว่าที่พระชายาขององค์ชาย สิบห้า
“ช่างหน้าทนนัก! คนผู้นี้มักใหญ่ใฝ่สูง ซ้ำยังไม่ยอมลดราวาศอก สิ่งใดจะได้เปรียบก็เดินหน้าชนเสมอ ต่อให้ต้องทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมก็ไม่หวั่นเกรง...เป็นเหมือนที่ผู้คนนินทาเสียจริง” จงเหยียนอดรนทนไม่ไหว หลังจากกัวเฉินออกไปสืบเรื่องของสกุลเผยตัวเขาเองก็ลอบสอบถามเรื่องของคนตระกูลนี้จากคนรู้จักเช่นกัน จึงได้รู้ว่าใต้เท้าเผยและถังฮูหยินผู้นั้นเป็นบุคคลที่ไม่ควรเฉียดกรายเข้าใกล้แม้แต่น้อย
“เห็นทีเป็นเพราะข้าปฏิเสธไม่ชัดเจน หลังจากเผยมู่ซีตายไปควรจะถือว่าสัญญานั้นเป็นอันสิ้นสุด นางยังมิได้เข้าพิธีกับข้าแต่กลับประสบเหตุร้าย ศพของนางก็เอากลับไปฝังที่สุสานสกุลเผย เช่นนี้สกุลเผยไม่ควรมีสิ่งใดติดค้างกับข้าอีก”
องครักษ์ทั้งสองไม่กล้าเสนอความคิดเห็นเพราะฟังจากองค์ชายทรงรับสั่งก็รู้แล้วว่าพระองค์คิดเห็นเช่นไร
“แต่ข้อสงสัยที่องค์ชายทรงมีก็ยังมิได้คลี่คลายมิใช่หรือพะยะค่ะ?”
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าคิดจะทำให้นางเป็นอย่างสุดท้ายในฐานะว่าที่พระชายาของข้า แม้ข้ากับนางยังมิได้พบเจอหรือผูกพันอันใดแต่อย่างน้อยนางก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของข้าในยามที่นางสิ้นลมไป”
***********************