บทที่ 12 คุณชายจั๋วเหรินหาว
องค์ชายสิบห้ามองชายหนุ่มตรงหน้าประเมินแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบหกปี รูปร่างผอมบางอย่างบัณฑิต ผิวพรรณขาวใสอย่างบุตรผู้มีอันจะกิน
“อ้อ! เจ้านี่เอง” หมิงเฉิงอวี่เคยเห็นชายหนุ่มคนนี้สองครั้ง เขาจะมักจะยืนอยู่ข้างหลังจากจากใต้เท้าจั๋วนายอำเภอเฉินห่างออกไปด้านหลังพอสมควร
“หม่อมฉันเป็นเจ้าของเหลาสุราแห่งนี้พะยะค่ะ ครั้งก่อนหลงจู๊ที่ร้านบอกว่าองค์ชายเสด็จมาแต่หม่อมฉันมิได้อยู่ต้อนรับขอทรงโปรดประทานอภัย”
“ที่นี่เป็นของเจ้าหรือ? ตกแต่งได้สวยงามนัก แม้จะมีขนาดเล็กแต่น่านั่ง คราวก่อนเปิ่นหวางผ่านมาเห็นว่าน่าสนใจจึงได้พาองครักษ์เข้ามาลองดู”
“ครั้งนี้หม่อมฉันขอถวายสุราที่ดีที่สุดในร้านให้องค์ชายทรงลองเสวยสักกา พะยะค่ะ” คุณชายน้อยจั๋วหันไปสั่งเสี่ยวเอ้อที่ยืนข้างๆ “สุราชิมจันทร์เป็นสูตรเฉพาะของอำเภอเฉินซึ่งใช้เวลาหมักหนึ่งปีพะยะค่ะ”
หมิงเฉิงอวี่พยักหน้าองครักษ์กัวรับสุรามาแล้วก็เทลงจอกก่อนจะทดสอบด้วยเข็มเงินแล้วยกขึ้นชิม เมื่อทดสอบความปลอดภัยแล้วก็เลื่อนไปตรงหน้าให้องค์ชาย สิบห้า ทรงเอ่ยอนุญาตให้จั๋วเหรินหาวนั่งลงร่วมโต๊ะก่อนจะยกจอกสุราขึ้นดมแล้วจิบเล็กน้อยปล่อยให้รสชาติกลั้วไปตามลิ้นจนทั่วจึงกลืนลงไป
“กลิ่นละมุนละไม รสชาตินุ่มลิ้น นับว่าเป็นรสชาติที่แปลกใหม่สำหรับ เปิ่นหวาง”
“ขอบพระทัยที่ทรงชมพะยะค่ะ”
“บิดาของเจ้าใช่ต้องการให้บุตรทุกคนเป็นขุนนางดอกหรือ?”
“หม่อมฉันก็คงต้องทำตามที่บิดาต้องการพะยะค่ะ เพียงแต่ขอทำกิจการเหลาสุราเพิ่มเติมด้วย อาชีพการหมักสุราเป็นอาชีพดั้งเดิมของมารดากระหม่อมพะยะค่ะ”
“อ้อ! เป็นเช่นนั้น เจ้าคงจะเข้ากรมมหาดไทยเช่นเดียวกับบิดากระมัง?”
“หม่อมฉันมิได้อยากเป็นนายอำเภอพะยะค่ะ หม่อมฉันอยากเป็นมือปราบเมืองหลวงต่างหาก ทว่าบิดาก็คอยคัดค้านมาตลอด”
“ที่เจ้ามาดักรอเปิ่นหวางก็คงมีวัตถุประสงค์ใช่หรือไม่?” ร่างสูงโปร่งที่ยกจอกสุราขึ้นกระดกเป็นครั้งที่สอง ปรายตามองคุณชายน้อยสกุลจั๋วอย่างจับผิด
“ทรงพระปรีชายิ่ง เป็นเช่นนั้นจริงพะยะค่ะ”
“เจ้าต้องการสิ่งใด?”
จั๋วเหรินหาวอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสายพระเนตรแน่วนิ่งขององค์ชายสิบห้าที่ดูน่าเกรงขามก็จำต้องเอ่ยออกมา “หม่อมฉันอยากให้พระองค์ช่วยบอกบิดาของหม่อมฉันให้ปล่อยหม่อมฉันไปสมัครเป็นมือปราบที่เมืองหลวงพะยะค่ะ”
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น เปิ่นหวางขอทดสอบฝีมือของเจ้าสักหน่อย”องค์ชายสิบห้าถือกาและจอกสุราเดินออกไปยังระเบียงด้านข้างร้านที่มีลานกว้างอยู่เลยออกไป
“องครักษ์จง เจ้าจงทดสอบฝีมือของคุณชายน้อยที”
“พะยะค่ะ”
จั๋วเหรินหาวคว้ากระบี่ออกมาจากร้านด้วยลงไปยืนจังก้ารอคอยอยู่ ไม่นานนักจงเหยียนก็กระโจนตามมาประจันหน้า
“คุณชายจั๋วท่านพร้อมหรือยังขอรับ?”
“ข้าพร้อมแล้ว!”
องค์ชายสิบห้าจิบสุราดูการประลองของทั้งคู่ด้วยความสนใจ ในหมู่องครักษ์เสื้อแพรแห่งวังหลวง กัวเฉินกับจงเหยียนนับว่าฝีมืออยู่ในลำดับต้นๆ หมิงฮ่องเต้เป็นผู้คัดเลือกด้วยตนเองเพื่อมอบให้มาอารักขาพระอนุชาหมิงเฉิงอวี่ พร้อมทั้งองครักษ์ฝีมือระดับรองลงไปอีกแปดนาย ส่วนองครักษ์ทั่วไปนั้นมีอีกกว่าสามสิบนาย แต่เพราะองค์ชายสิบห้าไม่ชอบความเอิกเกริกในยามเดินทางจึงนำองครักษ์มาเพียงสิบคนที่เป็นยอดฝีมือเท่านั้น
ผ่านไปถึงสามสิบกระบวนเพลงคุณชายจั๋วจึงได้ดูอ่อนแรงลง กระทั่งชัยชนะตกเป็นขององครักษ์จง จั๋วเหรินหาวตวัดกระบี่หักพับอยู่แนบแขนก่อนจะแสดงความเคารพผู้ชนะ
“ขอบคุณองครักษ์จงที่ชี้แนะ”
“คุณชายนับว่ามีฝีมือดีเยี่ยมเทียวขอรับ”
เสียงปรบมือขององค์ชายสิบห้าที่อยู่บนระเบียงทำให้ชายหนุ่มที่ถือกระบี่ทั้งคู่หันไปมอง ทั้งสองจึงใช้วิชาตัวเบากระโจนขึ้นมาบนระเบียง
“หม่อมฉันทำขายหน้าองค์ชายแล้วพะยะค่ะ”
“มิได้ๆ เปิ่นหวางเห็นว่าฝีมือของเจ้ายังพัฒนาได้อีกมากเพราะมีพื้นฐานที่ดี คนผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้า”
“หม่อมฉันได้รับการชี้แนะจากหัวหน้ามือปราบหลิวพะยะค่ะ แต่เดิมบิดาของหม่อมฉันให้ฝึกเพื่อสุขภาพ ทว่าภายหลังหม่อมฉันแอบขอให้มือปราบหลิวสอนเพิ่มเติม”
“วิทยายุทธ์ของเจ้าหากจะบอกว่าสอนโดยมือปราบข้าจะเชื่อครึ่งหนึ่ง แต่ครึ่งหลังย่อมมิใช่?” ดวงตายาวรีคมปลาบขององค์ชายราวกับล้วงลึกเข้าไปในใจ
จั๋วเหรินหาวถอนหายใจยาว “หม่อมฉันไม่อาจปิดบังองค์ชายได้จริงๆ วิชากว่าครึ่งหนึ่งหม่อมฉันได้มาจากจอมยุทธ์ที่อยู่ชานเมืองพะยะค่ะ คนผู้นี้ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อแซ่ ทุกครั้งที่มาสอนหม่อมฉันก็จะปกปิดใบหน้าแต่เห็นแก่ที่หม่อมฉันตั้งใจกราบเป็นอาจารย์จึงยอมสอนอยู่พักใหญ่พะยะค่ะ”
“อืม...นับว่าเจ้าหาอาจารย์ได้ไม่เลวเลยเทียว คนผู้นี้ทำให้พื้นฐานวรยุทธ์ของเจ้าแข็งแรงนักเหมาะที่จะเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นไป”
“องค์ชายกล่าวเช่นนี้.....”
หมิงเฉิงอวี่ลดจอกสุราในมือลง สบสายพระเนตรกับคุณชายน้อยจั๋ว “ข้าจะขอตัวเจ้าให้ตามข้ากลับเมืองหลวงหลังจากงานวาดผนังวิหารเก้าเทพเสร็จสิ้นลง”
จั๋วเหรินหาวรีบคุกเข่าโขกศีรษะขอบพระทัย ความหวังที่จะได้เป็นยอดมือปราบแห่งเมืองหลวงนับว่าอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
เผยมู่ซีรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจวนแดดจะหมดจากฟ้า มารดากับสาวใช้คนขยันกำลังช่วยกันรีดผ้าอยู่ในห้องปักเย็บ ยาสามถ้วยที่นางดื่มก่อนนอนช่วยให้หลับสบายยิ่งนัก นางหลับไปเกือบสองชั่วยามและเมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่นกว่าวันก่อนนัก...เห็นทีจากนี้ไปควรจะดื่มยาก่อนนอนจะดีกว่า
ร่างกายของนางค่อยๆ เติมเต็มขึ้นมาทีละส่วน เผยมู่ซีจำได้ว่าตอนที่นางฟื้นขึ้นมาแล้วก้มมองแขนขาตัวเองวันแรกยังรู้สึกตกใจที่คนผู้นี้ราวกับโครงกระดูกเดินได้ ผ่านมาถึงวันนี้เนื้อเหลวๆ ที่แทบจะหย่อนอยู่บนโครงกระดูกกลายเป็นเนื้อนิ่มๆ ขึ้นมาแล้ว....เผยมู่ซีคิดถึงวิทยายุทธ์ที่นางเคยฝึกฝน ชิงหลานผู้นี้อย่าว่าแต่จะถือกระบี่เลยแค่เพียงถือพู่กันๆ นานๆ ก็ยังต้องหยุดพักมือพักแขน เมื่อไหร่กันนางจึงจะได้กลับไปขี่ม้า ยิงธนู ฟันดาบและรำทวนอีก?
เหล่าลู่เห็นคุณหนูของตนนั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ระเบียงทางเดินจึงขยับเข้าไปใกล้ ครั้นเห็นว่าร่างผอมบางถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าจึงเอ่ยขึ้น
“คุณหนูขอรับ มีอันใดหนักใจหรือ?”
นางผินหน้ากลับมามอง “เหล่าลู่...ข้าเบื่อร่างกายที่อ่อนแอนี้นัก อยากแข็งแรงเร็วๆ อยากฝึกวิทยายุทธ์”
“ไอหยา! อย่างคุณหนูน่ะหรือขอรับ? คิดอยากจะฝึกวิทยายุทธ์” ใบหน้าของเหล่าลู่ดูเหมือนได้ฟังเรื่องเหลือเชื่อ”
“ก็ใช่น่ะสิ! อยากจะมีวิชาตัวเบากระโจนไปบนกำแพง กระโจนขึ้นบนหลังคาบ้าง คงจะสนุกมิใช่น้อย”
เหล่าลู่หัวเราะเบาๆ “เอาไว้ให้คุณหนูมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ก่อนเถอะขอรับ แล้วค่อยคิดเรื่องฝึกวิทยายุทธ์”
“ในอำเภอเฉิน มีจอมยุทธ์อยู่หรือไม่?”
“คนมีวิทยายุทธ์ก็หัวหน้ามือปราบหลิวอย่างไรเล่าขอรับ?”
“แล้วเขาจะยอมสอนเด็กอย่างข้าหรือ?”
“ยังมีจอมยุทธ์อีกผู้หนึ่งซ่อนกายอยู่ป่าหลังอำเภอ ข้าเคยเจอครั้งหนึ่ง หากว่าคุณหนูร่างกายแข็งแรงแล้วข้าจะพาท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์คนผู้นั้นดีหรือไม่ขอรับ?”
**********************