บทที่ 11 วิหารเก้าเทพ
เผยมู่ซีเดินหน้าง้ำกลับบ้านในขณะที่มารดาเห็นเช่นนั้นก็รีบปลอบโยนนาง
“ดีเท่าไหร่แล้วที่องค์ชายมิได้เอาผิดเจ้า?”
“ดีตรงไหนกันเจ้าคะ? จู่ๆ ก็มาบังคับข้าให้ไปวาดรูปฝาผนังให้เต็ม ช่องหนึ่งต้องใช้เวลาตั้งหลายวัน” แค่คิดเผยมู่ซีก็รู้สึกโมโหคนผู้นั้น นางยังจำคำพูดที่พระองค์ประกาศในภัตตาคารบึงหงส์ที่สาวใช้คนสนิทของนางนำความมาบอกได้ขึ้นใจ
‘รังเกียจข้านัก! ชาติก่อนอุตส่าห์ล้มหายตายจากไปแล้ว เวรกรรมอันใดต้องมาเจอกันในชาตินี้อีก’
“ในทางกลับกัน หากเจ้าได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ ภาพวาดของเจ้าก็คงจะได้ราคาสูงขึ้นและเมื่อมีชื่อเสียงก็ไม่จำเป็นต้องวาดภาพเลียนแบบอีก”
เผยมู่ซีได้ยินจังฮูหยินวิเคราะห์เช่นนั้นก็ยิ้มออก...จริงสิ! หากว่ากลายเป็น จิตรกรที่มีชื่อเสียงก็ไม่ต้องวาดภาพเลียนแบบขาย
“ไหนๆ ข้าก็ขัดคำสั่งองค์ชายไม่ได้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็สู้ทำให้เกิดประโยชน์กับตนให้มากที่สุดจะดีกว่า”
เช้าวันต่อมาจังฮูหยินจึงให้เสี่ยวลิ่งเป็นผู้เดินไปส่งเผยมู่ซีที่วัดลู่เซี่ยน จิตรกรวัยกลางคนสองคนที่อยู่กับนางเมื่อวานยิ้มต้อนรับ หลังจากทักทายกันแล้ว นางจึงได้รู้ว่าท่านลุงจิตรกรที่ยอมให้นางช่วยวาดคือ จิตรกรหลู
“ที่แท้พวกท่านก็มาจากชุมนุมจิตรกร”
“ใช่! องค์ชายทรงให้หัวหน้าจิตรกรวังหลวงคัดเลือกพวกเรามาส่วนหนึ่งเพื่อสมทบกับจิตรกรวังหลวง”
“หือ! มีจิตรกรวังหลวงด้วยหรือ?”
“พวกเขาวาดอยู่ชั้นบนหอโน่นแน่ะ แต่เจ้าคงขึ้นไปดูมิได้หรอกเพราะองค์ชายทรงไม่อนุญาตให้พวกเราเดินขึ้นลงตามใจชอบ ที่พวกเขาสองคนเลือกวาดอยู่ข้างล่างเพราะไม่อยากเดินขึ้นบันไดนี่ล่ะ หัวเข่าของข้าไม่ค่อยดี เขาก็เช่นกัน” จิตรกรหลูชี้ไปทางสหายวัยกลางคนที่นั่งวาดอีกอีกผนังหนึ่ง
“ท่านลุงหลู แล้วท่านจะให้ข้าวาดผนังใดล่ะเจ้าคะ?”
“เจ้าน่ะหรือ วาดด้านข้างข้าเลยเป็นไร? เหลืออีกตั้งหกผนังที่ยังไม่ได้ลงมือ ว่าแต่เจ้าจะไหวหรือ? แขนกับมือผอมบางขนาดนี้”
เผยมู่ซียิ้มกว้าง “ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ”
นางได้ยินคนที่ซ่อมแซมระเบียงหอพูดกันเรื่องที่องค์ชายเสด็จไปตรวจราชการอำเภอใกล้ๆ ก็นึกดีใจที่ตนเองไม่ต้องพบหน้าคนผู้นั้นจึงตั้งใจร่างภาพตามแบบที่ท่านลงหลูมอบหมายให้นาง ผนังของชั้นหนึ่งทั้งหมดแปดด้านมีขนาดกว้างกว่าผนังชั้นอื่น เดิมทีคนของชุมนุมจิตรกรที่รับปากจะมาช่วยกันวาดภาพฝาผนังที่ชั้นหนึ่งมีสี่คนแต่สุดท้ายกลับได้มาเพียงสองคนเพราะอีกสองคนเกิดป่วยกะทันหัน
“ดีที่เจ้ามาช่วย ไม่เช่นนั้นข้าสองคนคงจะต้องเสร็จทีหลังชั้นอื่นๆ แน่ เจ้าได้เห็นป้ายหรือยัง?”
“ป้ายอันใดหรือเจ้าคะ?”
“ป้ายของหอแห่งนี้น่ะสิ หอนี้ได้ชื่อพระราชทานว่าวิหารเก้าเทพ ป้ายถูกเก็บรักษาไว้ในศาลาด้านหลัง เมื่อภาพฝาผนังวาดเสร็จเรียบร้อย องค์ชายสิบห้าจะเป็นผู้นำป้ายขึ้นด้วยพระองค์เอง”
“จริงหรือเจ้าคะ? ดีจริง! ข้าก็จะได้ฝากฝีมือไว้ที่นี่ด้วย”
“จิตรกรท้องถิ่นไม่มีผู้ใดได้รับการคัดเลือกแต่เจ้ากลับกลายเป็นผู้มากับโชคที่องค์ชายทรงเอ่ยปากอนุญาตด้วยพระองค์เอง วาสนาดีนักเทียว!”
เผยมู่ซีรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าวิหารแห่งนี้ต่อไปจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะที่ได้รับการอุปถัมภ์จากฮ่องเต้ ผลงานของนางก็จะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่สำคัญในแคว้นหมิง
นางลงมือวาดด้วยความเพลิดเพลินตั้งแต่ยามเฉิน*ไปจนถึงยามอู่* โครงร่างทั้งภาพที่วาดไว้คร่าวๆ ด้วยสีน้ำตาลอ่อนใสมีสัดส่วนที่ลงตัวตามต้นแบบที่จิตรกรหลูมอบให้ นางเริ่มลงภาพขั้นที่สองไปได้เกือบครึ่ง
“เจ้าวาดเร็วกว่าพวกข้าสองคนมากเทียว” หลูเหวินหย่วนมองดูโครงร่างและภาพที่นางเริ่มลงรายละเอียดด้วยความพอใจ
“ท่านลุงหลู คุณหนูของข้าต้องพักผ่อนในยามบ่ายนะเจ้าคะ ร่างกายของคุณหนูเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรังจึงต้องกลับไปนอนในยามบ่าย” เสี่ยวลิ่งที่นั่งรออยู่ศาลาใกล้ๆ เห็นว่าถึงเวลาที่ชิงหลานต้องพักผ่อนแล้วก็เดินกางร่มเข้ามาเตือน
หลูเหวินหย่วนหัวหน้าหน่วยหนึ่งของชุมนุมจิตรกรเมืองหมิงหันมามองสีหน้าสาวน้อยที่เริ่มดูซีดเซียวก็รีบโบกมือให้นางไปพัก
“เจ้ารีบพาชิงหลานไปเถอะ ดูหน้าของนางสิ ซีดจนจะไม่มีสีเลือดอยู่แล้ว พวกเราไม่รู้มาก่อนว่านางไม่สบายไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้นั่งวาดอยู่นานเช่นนี้”
เผยมู่ซียิ้มน้อยๆ แม้ใจของนางจะยังสู้ทว่าร่างกายกลับไม่เป็นใจ...ร่างนี้ของชิงหลานอ่อนแอเกินไปจริงๆ ยาสามถ้วยที่นางต้องกินทุกวันก็ต้องกินต่อเนื่องอย่างน้อยหนึ่งเดือนร่างกายจึงจะเริ่มแข็งแรง
“เสี่ยวลิ่ง ขะ ข้าลุกไม่ได้แล้ว หนะ เหน็บ”
เสี่ยวลิ่งหัวเราะร่วนก่อนจะเข้าสอดแขนที่รักแร้จากด้านหลังยกร่างของคุณหนูขึ้นนั่ง “ไปกันได้แล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวยาที่เคี่ยวไว้ของท่านจะเย็นเสียก่อน” เสียงคนตีฆ้องบอกเวลาผ่านมาพอดี "ป่านนี้ฮูหยินคงเริ่มต้มยาแล้ว พอเราไปถึงจวนคุณหนูก็ได้ดื่มก่อนนอน”
ทีแรกมารดาของชิงหลานปล่อยให้นางนอนหลับแล้วจึงดื่มยาในตอนตื่น แต่เมื่อเห็นว่านางนอนนานเกินไป เมื่อเช้าจึงได้สั่งนางเอาไว้ว่าบ่ายนี้จะให้นางดื่ม ก่อนนอน
กว่าองค์ชายสิบห้าจะตรวจงานที่อำเภอใกล้ๆ เสร็จก็เลยยามอิ๋น*แล้ว ทรงแวะไปวัดลู่เซี่ยนเพื่อดูว่าเด็กหญิงที่ปากกล้าผู้นั้นมาวาดภาพตามที่พระองค์สั่งหรือไม่? ครั้นไปถึงจิตรกรหลูก็กราบทูลให้ทรงทราบ
“ชิงหลานวาดได้ดีทีเดียวพะยะค่ะ นางร่างภาพได้สัดส่วนตามต้นฉบับที่ออกแบบเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน นับว่ามีทักษะอย่างมาก”
หมิงเฉิงอวี่ทอดพระเนตรผนังใหญ่ที่นางรับผิดชอบก็พยักหน้า “ไม่เลวเลยอย่างที่เจ้าว่า รอให้นางวาดเสร็จเสียก่อน เปิ่นหวางจะพิจารณาค่าแรงให้นางอย่างคุ้มค่า พวกเจ้าก็บอกกับนางด้วยก็แล้วกัน”
แม้จะทรงนึกหมั่นไส้ใบหน้าเย่อหยิ่งของเด็กหญิงที่ผอมแห้ง แต่เมื่อได้ยินว่านางป่วยเรื้อรังมาหลายปี ซ้ำเพิ่งฟื้นจากความตายได้ไม่นานจึงไม่อาจทนนั่งวาดรูปได้ทั้งวันก็นึกเวทนา ตอนที่เห็นนางเป็นลมอยู่กลางแดดเมื่อครั้งขี่ม้าตามหลังขบวนแห่ศพว่าที่พระชายาก็ทรงเห็นว่ารูปร่างคล้ายนางคล้ายคนตายไปแล้วครึ่ง มาเห็นครั้งนี้นับว่านางมีเนื้อมีหนังขึ้นมาไม่น้อย
‘เด็กคนนี้...แม้จะโอหังไปสักหน่อยแต่ฝีมือนับว่าใช้ได้เลยทีเดียว คงต้องให้อาจารย์จ้าวมาดูสักหน่อย’
จ้าวอี้หลงผู้นี้เป็นทั้งจิตรกรหลวงอาวุโสและยังเปิดสำนักพู่กันทองบนถนนฉิ้งฝูซึ่งเป็นถนนที่ตั้งของชุมนุมจิตรกรอีกด้วย หมิงเฉิงอวี่มีคนผู้นี้เป็นที่ปรึกษาในการออกแบบภาพวาดฝาผนังทั้งหมดของวิหารเก้าเทพแห่งนี้ อีกสองวันอาจารย์จ้าวก็จะเดินทางมาตรวจภาพแล้ว ช่างเป็นโอกาสอันดีที่จะให้อาจารย์จ้าวได้เห็นชิงหลาน หากอาจารย์จ้าวเห็นว่านางมีพรสวรรค์ก็อาจจะรับนางไว้เป็นลูกศิษย์ นั่นก็แล้วแต่วาสนาของนาง
ในอำเภอเฉินมีเหลาสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งบนถนนสายกลาง หลังจากตรวจงานเสร็จองค์ชายสิบห้าก็จะพาองค์รักษ์ส่วนพระองค์ไปนั่งดื่มผ่อนคลายสักเล็กน้อยก่อนจะกลับเรือนรับรอง หมิงเฉิงอวี่ยังไม่มีองครักษ์เงาเพราะหมิงฮ่องเต้จะทรงพระราชทานให้เฉพาะบุคคลสำคัญเท่านั้น ทว่าฝีมือขององค์ชายสิบห้าที่ได้รับการเคี่ยวกรำจากชินอ๋องหรือเสด็จพี่ห้า*ก็ร้ายกาจอย่างยิ่ง ได้รับการวางตัวให้เป็นผู้สืบต่อในการดูแลกองทัพพยัคฆ์เหิน
“คารวะองค์ชาย หม่อมฉันบุตรคนเล็กของนายอำเภอจั๋ว จั๋วเหรินหาว พะยะค่ะ”
-----------------------------------------------------
*ยามเฉิน เวลา 07.00-08.59 น.
*ยามอู่ เวลา 11.00-12.59 น.
*ยามอิ๋น เวลา 03.00-04.59 น.
*ชินอ๋องหรือเสด็จพี่ห้า พระเอกเรื่อง “ท่านอ๋องอย่าคิดหนี”