ตอนที่ 4
ในที่สุดสิ่งที่แองเจลอสคาดไว้ก็เป็นจริง เมื่อสเตฟาโนพี่ชายบินด่วนด้วยเครื่องบินส่วนตัวตรงมาถึงเมืองไทยตอนบ่ายโมงตรง และแน่นอนว่าตอนนี้ชายหนุ่มล่วงรู้แล้วล่ะว่าใครกันที่เป็นคนทำให้ชีวิตของเขากลายเป็นจุดสนใจไปทั่วโลกแบบนี้
กรามกระด้างที่มีรอยสีเขียวจางๆ เนื่องจากหนวดพึ่งถูกจำกัดไปขบกันตลอดเวลา ดวงตาคมกริบสีถ่านลุกโชนด้วยกองไฟกัลป์ ร่างสูงใหญ่ก้าวยาวๆ ออกมายังส่วนบริการผู้โดยสารขาเข้า ผู้คนจำนวนมากเดินผ่านไปมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้สเตฟาโนสะดุดตาเท่ากับใบหน้าหวานๆ ที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมยาวสลวยที่ปล่อยสยายอยู่เต็มแผ่นหลัง สีดำขลับของมันไม่ผิดเพี้ยนจากสีของนกเป็ดน้ำสักนิด
รอยยิ้มพึงพอใจของเขาเริ่มชัดขึ้นเมื่อเจ้าหล่อนเดินมาหยุดตรงหน้าในระยะที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฟุต ดวงตากลมโตสีเดียวกับเส้นผมที่อยู่ใต้คิ้วโก่งดุจคันศรช่างหวานฉ่ำหยดย้อยจนเขาไม่อาจจะละสายตาจากเจ้าหล่อนได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่ที่ทำให้ลมหายใจของเขาสะดุดก็คือกลีบปากสีกุหลาบแดงสดสวยที่อยู่ต่ำกว่าจมูกโด่งเชิดนั้น มันแย้มเผยอคล้ายกับรอคอยอะไรสักอย่าง
‘ให้ตายเถอะ ทำไมถึงรู้สึกว่ากายหนุ่มรุ่มร้อนจนแทบระเบิดแบบนี้นะ’
สเตฟาโนสบถอยู่ในอกอย่างดุเดือดที่ร่างกายของตัวเองมีปฏิกิริยาตอบรับเสน่ห์นางของแม่ผู้หญิงที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อตรงหน้ารุนแรงแบบนี้ มันเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงสามารถดึงความสนใจของเขาได้นานเกินหนึ่งวินาที ชายหนุ่มพยายามจะละสายตาจากความงดงามเบื้องหน้า แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สายตาของเขายังคงดื่มด่ำกับกลีบปากอิ่ม ไล่ต่ำลงมายังลำคอระหงที่โผล่พ้นเสื้อแขนกุดคอลึกจนเห็นร่องอกรำไร
‘บ้าชะมัด!’
“ฉันมารับคุณ...”
คำพูดจากกลีบปากอิ่มสีกุหลาบแดงระเรื่อช่วยให้สเตฟาโนหลุดพ้นจากไร้อาการร้อนรุ่มได้อย่างชะงัดเลยทีเดียว ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย ฉาบใบหน้าด้วยความเย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนเช่นทุกครั้ง พร้อมๆ กับหรี่ตามองคู่สนทนาแสนสวยด้วยความข้องใจเมื่อสมองที่หยุดทำงานเพราะความสวยของเจ้าหล่อนกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมเช่นเดิม
“ว่าไงนะ?”
นาบุญฉีกยิ้มหวานมองสเตฟาโน เมเนนเดซ ผู้ชายที่ตัวเองกำลังจะมัดมือชกให้เป็นสามีของตัวเองด้วยความพึงพอใจที่ปิดไม่มิด สเตฟาโนหล่อมากขึ้นกว่าเมื่อเดือนก่อนเสียอีก แถมยังดูดีมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า หรือจะพูดให้ถูกก็คือผู้ชายคนนี้หล่อแบบไม่บันยะบันยังเลยให้ตายสิ ยิ่งได้มอง ไอ้ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวด้วยความร้อนวูบวาบก็ยิ่งกำเริบอย่างบ้าคลั่ง ช่องท้องบีบรัดอย่างรุนแรงเมื่อได้สบตากับพยัคฆ์ร้ายอย่างสเตฟาโน เมเนนเดซในระยะกระชั้นชิดแบบนี้
‘ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงเร็วคล้ายกับพึ่งไปวิ่งมาราธอนรอบโลกมานะ?’ นาบุญร้องถามตัวเองแต่ก็ไม่ได้คำตอบนอกจากก้มหน้ายอมจำนนต่อความหล่อระเบิดระเบ้อของผู้ชายตรงหน้า
‘ใจเย็นไว้นิ่ม หมอนี่เป็นแค่หมากในชีวิตรักของเธอเท่านั้น ท่องเอาไว้สเตฟาโนเป็นแค่หมากเท่านั้น’
สาวน้อยทั้งร้องเตือน ร้องสั่งตัวเอง แต่ไม่ว่าจะร้องแรกแหกกระเชอแค่ไหน หัวใจของหล่อนก็ยังเต้นระส่ำไม่ยอมหยุดอยู่ดี แถมมันยังทำท่าจะกระโดดเข้าใส่ผู้ชายตรงหน้าราวกับเสือสาวผู้หื่นหิวอีกต่างหาก น่าละอาย น่าทุเรศที่สุด แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์สุดกู่ และไอ้เสน่ห์นี้มันก็มีผลต่อหัวใจของหล่อนโดยตรงเลยทีเดียว มันทำให้ดวงใจน้อยๆ ของหล่อนเอียงกระเท่เร่อย่างน่าเวทนา
ยิ่งแสงไฟนวลตาจากโคมไฟระย้าที่ติดไว้ด้านบนส่องรอบศีรษะแสนทระนงของเขาด้วยแล้ว ผู้ชายตรงหน้าก็ไม่ต่างจากเทพบุตรเดินดินดีๆ นี่เอง เขาดูลึกลับแสนอันตราย แต่ก็น่าหลงใหลได้ในเวลาเดียวกัน
“ฉัน... มารับคุณค่ะ”
ดวงตาสีนิลถูกล้อมกรอบด้วยแพขนตาที่ผู้หญิงหลายต่อหลายคนยอมตายเพื่อให้ได้มันมาอัดแน่นไปด้วยความเคลือบแคลงขณะจ้องหน้าหล่อนเขม็ง
“ผมจำได้ว่าเราไม่เคยรู้จักกัน” ริมฝีปากบางเฉียบแต่ได้รูปสีสดบิดเบี้ยวคล้ายกับไม่พอใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างมาก
“แต่มันก็ไม่แปลกหรอกนะว่าทำไมผมถึงจำคุณไม่ได้ เพราะปกติผมไม่เคยจำหน้าผู้หญิงที่ตัวเองโละทิ้งได้สักที”
เจ็บจนหน้าชาดิก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่มีท่าทางเงียบขรึมอย่างสเตฟาโน เมเนนเดซจะปากร้ายกาจแบบนี้ นาบุญกัดปากของตัวเองแน่น พยายามข่มโทสะเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณเคยโละทิ้งหรอกค่ะ”
“แล้วคุณเป็นใครกัน?”
นาบุญระบายยิ้มกว้าง ขณะมองข้ามไหล่กว้างทรงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในเสื้อสูทสีดำสนิท
“นาบุญ โชติวรรธนา...”
คราวนี้หน้ากากน้ำแข็งบนใบหน้าหล่อกระชากใจของสเตฟาโนถึงกับแตกโพละลงในทันที ดวงตาคมกริบเบิกกว้างเล็กน้อย
“นาบุญ โชติวรรธนา?”
“ใช่ค่ะ เจ้าสาวของคุณที่นักข่าวกำลังตามหาตัวอยู่ยังไงล่ะคะ”
“บ้าฉิบ!”
สเตฟาโนทำได้เพียงแค่สบถเท่านั้น เพราะต่อจากนั้นกลีบปากอิ่มที่เขาชื่นชมว่ามันสวยงามน่าหลงใหลก็ประกบลงมาบนริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว มือบางตวัดรอบลำคอแกร่งเอาไว้แน่น ดึงรั้งศีรษะทระนงให้ลดต่ำลงมา ชายหนุ่มพยายามจะยุติเรื่องบ้าๆ นี้ลง แต่แม่เจ้าประคุณก็ใช้ลีลาเงอะงะแต่แสนหวานทำเอาเขาหัวหมุน ดำดิ่งสู่ความหวานขั้นเทพที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนเลยในชีวิตทันที
หนุ่มหล่อปล่อยกายปล่อยใจให้หลงใหลดื่มด่ำไปกับความนุ่มหวานฉ่ำอยู่เนิ่นนาน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงชัตเตอร์ระรัวที่มาพร้อมกับแสงแฟลชสว่างวาบ และนั่นก็ทำให้เขารู้ทันทีว่าตัวเองตกหลุมพรางของแม่สาวน้อยที่มีปากหวานประดุจน้ำผึ้งเดือนห้าเสียแล้ว
“แพศยา!”
นาบุญกระเด็นออกมาจนแทบล้ม แต่หญิงสาวก็ยังฝืนยิ้มกว้างออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะรู้ดีว่านักข่าวกำลังเก็บภาพของหล่อนกับสเตฟาโนอยู่ หล่อนจะต้องไม่พลาด ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามแผน การแต่งงานของหล่อนกับสเตฟาโนจะต้องถูกจัดขึ้นในเร็วๆ นี้
“เรากำลังจะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้ค่ะ”
หญิงสาวให้สัมภาษณ์กับนักข่าวคนหนึ่งที่ยื่นไมค์เข้ามาจ่อที่ปาก ไม่อนาทรร้อนใจเลยสักนิดว่าสเตฟาโนจะเดินออกไปอย่างหัวเสียแค่ไหน
“ดูท่าทางคุณสเตฟาโนจะไม่ค่อยพอใจนะคะที่ถูกถ่ายภาพ” นักข่าวตั้งข้อสังเกต นาบุญยิ้มกว้าง รีบแก้ตัวทันที
“ที่รัก...เอ่อ...หมายถึงคุณสเตฟน่ะค่ะ เขาชอบความเป็นส่วนตัว นี่เราก็ตั้งใจว่าจะจัดงานแต่งแบบเงียบๆ แต่หากพวกคุณอยากเข้าไปเก็บภาพก็เชิญได้นะคะ” หญิงสาวพยายามแสดงบทบาทว่าที่เจ้าสาวที่กำลังมีความสุขใส่กล้องที่กำลังเก็บภาพอยู่อย่างสุดความสามารถ
“ทำไมถึงได้ปุบปับแต่งงานกันแบบนี้ หรือว่าเบนโลคะ”
คนถูกถามเบิกตากว้าง อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะปั้นยิ้มตอบออกมา
“เอ่อ...มันเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ นิ่มไม่ขอตอบคำถามนี้ก็แล้วกันนะคะ”
“แล้วคุณนาบุญกับคุณสเตฟพบรักกันที่ไหนคะ”
“เอ่อ...จะเล่ายังไงดีล่ะคะ เอาเป็นว่านิ่มเป็นเพื่อนรักกับน้องสะใภ้ของคุณสเตฟก็แล้วกันค่ะ เอ่อ...วันนี้ให้สัมภาษณ์แค่นี้นะคะ ป่านนี้คุณสเตฟคงรอนิ่มที่รถแล้ว” นาบุญยังคงยิ้มกว้างไม่หุบขณะพยายามปลีกตัวออกจากวงล้อมของนักข่าวจากหลายสำนักอย่างทุลักทุเล กว่าจะหนีมาที่รถได้ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะอย่างนี้ใช่ไหมสเตฟาโนถึงได้เกลียดนักข่าวเข้าไส้นัก
หญิงสาวถอนใจยาวๆ ขณะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถลีมูซีนคันยาวเฟื้อยที่ตัวเองนั่งมาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก
ใช่...หล่อนแสนจะวิตกกังวลกับสายตาเคียดแค้นที่สเตฟาโนมองมายังหล่อน ตอนที่เขาเดินหนีนักข่าวออกไป เขาคงโกรธหล่อนมากสินะ แต่ช่างเถอะ หล่อนเลือกเดินทางนี้แล้วนี่ ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ
“คุณหนูจะไปไหนต่อครับ” เสียงคนขับรถเอ่ยถาม
“นิ่มอยากกลับบ้าน”
รถราคาแพงระยับพุ่งทะยานมุ่งหน้ากลับสู่คฤหาสน์หลังงามของตัวเองอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกเอาไว้ หญิงสาวเอนกายบอบบางพิงกับเบาะนุ่ม พลางถอนใจออกมาด้วยความอ่อนล้า ขณะนั่งจ้องมองวิวสองข้างทางไปอย่างเงียบเชียบเพียงลำพัง