สะบั้นรัก (60%)
พ่อพูดเสมอว่าเธอได้ดีเอ็นเอการทำอาหารจากแม่ผู้ล่วงลับมาเต็มๆ ปกติเธอจะทำอาหารให้คนที่บ้านทาน แต่วันนี้ต่างออกไป พ่อทำให้เธอหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้า ความรู้สึกเจ็บปวด เสียใจ ผิดหวัง ถูกทอดทิ้งเหมือนไร้ค่า และเหมือนถูกหักหลังยังฝังใจ ส่วนแม่เลี้ยงนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเธอแทบจะไม่เข้าไปยุ่งกับอีกฝ่าย จะมีก็แต่ดาริกาที่โทรมาสอบถามเรื่องอาการป่วยอยู่แทบทุกวัน
“หูยยยยย…อิจฉาอะ คนอะไรเหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก” สาวที่เพิ่งกลับมาจากนำอาหารไปเสิร์ฟเอ่ยด้วยท่าทางเคลิ้มๆ แล้วอีกหนึ่งคนก็เอ่ยอย่างเห็นด้วย
“นั่นสิ คุณมนธิราก็สวย ส่วนคุณชายก็หล่อ เห็นแล้วใจละลาย อยากมีแฟนอย่างคุณชายธีรเดชบ้างจัง”
น้ำเสียงชวนฝันทำให้คนที่ยืนช่วยแม่ครัวใหญ่อยู่หน้าเตาทำเป็นหูทวนลมในคราแรก ขณะที่ยังคอยเตรียมวัตถุดิบให้แม่ครัวของร้านอย่างขะมักเขม้น ทว่าชื่อที่ได้ยินในตอนท้ายก็ทำเอาตัวแข็งทื่อ หายใจสะดุดขึ้นมาเสียดื้อๆ
ดีหน่อยที่คนอื่นไม่รู้ว่าอารญาเคยเป็นคู่หมั้นของธีรเดชมาก่อน จะมีรู้บ้างก็แค่คนสนิทใกล้ชิด ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาถูกเก็บเป็นความลับตั้งแต่หมั้นหมาย กระทั่งถอนหมั้น และตอนนี้ก็กลายเป็นเสมือนคนแปลกหน้าไปแล้ว
“น้องอายส่งเนื้อหมักเหล้าจีนให้พี่หน่อย…น้องอาย”
เมื่อเรียกไม่หือไม่อือ ไม่ทำตามคำสั่ง แม่ครัวใหญ่ก็เอื้อมมือมาเขย่าแขนเรียว คนที่หลุดเข้าไปในภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขอโทษขอโพยยกใหญ่
“อายขอโทษค่ะพี่นี ขอโทษจริงๆ”
“อืม ไม่เป็นไร แต่ครั้งหน้าอย่าให้มีอีก เพราะถ้าผู้ช่วยพี่มัวแต่เหม่ออยู่แบบนี้อาหารเสร็จไม่ทันลูกค้าแน่ๆ”
แม่ครัวที่ขึ้นชื่อว่าโหดและเข้มงวดเอ่ยกับเธออย่างเสียไม่ได้ อารญาลอบผ่อนลมหายใจ พี่นีอาจจะโหดและเข้มกับคนอื่น แต่อีกฝ่ายใจดีกับเธอแบบนี้เสมอ จนเพื่อนร่วมงานแซวว่าเป็นเด็กเส้น
“เอ้า แม่พวกนั้นยังไม่กลับเข้ามาอีกเหรอ มัวแต่ไปเหล่ผู้ชายหรือยังไง” หลังจากทำอาหารเสร็จอีกหนึ่งเมนู แต่กลับไร้เงาคนเอาไปเสิร์ฟพี่นีก็บ่นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่าช่วงเวลานี้ลูกค้าจะแน่นร้าน ทุกคนยุ่งมากจนมือเป็นระวิง แต่วันนี้ยุ่งกว่าเดิมหลายเท่าเพราะอยู่ๆ เด็กเสิร์ฟอีกสองคนก็ลาป่วยพร้อมกัน
“งั้นให้อายเอาไปเสิร์ฟให้ไหมคะ”
“เออ…ก็ดี น้องอายจัดการที ให้ลูกค้ารอนานไม่ดี”
อารญาพยักหน้ารับคำ ชะโงกหน้าไปดูใบเขียนออเดอร์ว่าเป็นของโต๊ะไหน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้ามันๆ ของตัวเองอย่างลวกๆ ล้างมือ แล้วยกจานกะเพราเนื้อหมักเหล้าจีนออกจากครัว
เท้าที่ก้าวฉับๆ อย่างมั่นคงในคราแรกถูกเจ้าตัวผ่อนลง เมื่อเหลือบเห็นว่าโต๊ะที่ตัวเองต้องนำอาหารไปเสิร์ฟเป็นใครนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะดึงสติจากภาพบาดตาของคู่รัก แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า
“กะเพราเนื้อหมักเหล้าจีนค่ะคุณลูกค้า”
เสียงที่เปล่งออกมาจากปากอิ่มนั้นไม่มั่นคงนัก เพราะอยู่ๆ หัวตาของเธอก็เกิดร้อนผ่าว หัวใจเต้นช้าลง จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลยก็คงยาก ในเมื่อแผลใจที่เกิดขึ้นเพิ่งผ่านพ้นไม่ถึงสองเดือนเสียด้วยซ้ำ มันต้องใช้เวลาเยียวยา แค่ไม่ฟูมฟาย และมีสติ ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับตอนนี้
หลังจากวางจานอาหารลงบนโต๊ะเสร็จอารญาก็ถอยออกมาอย่างสุภาพ แล้วตั้งท่าจะก้าวจากไปทันทีเมื่อหมดหน้าที่ของตัวเอง หากว่าเสียงของใครบางคนจะไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“เธอทำงานที่นี่เหรอ?”
“ค่ะ ขอตัวนะคะ”
อารญาตอบเสียงเรียบ แล้วเอ่ยตัดบทเสียดื้อๆ จากนั้นก็เดินลิ่วจากมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้รั้งเอาไว้ เขาจะรั้งคนที่เขารำคาญทุกขณะจิตได้ยังไง ที่ถามไปเมื่อกี้เขาก็คงแค่ทำไปตามมารยาท
จากนั้นเธอก็ผลักเรื่องของเขาออกไปจากห้วงความคิด ลงมือช่วยแม่ครัวใหญ่อย่างแข็งขัน กระทั่งเมนูสุดท้ายของวันสิ้นสุดลง ไม่นานสาวเสิร์ฟก็เดินเข้ามาในครัว เก็บของกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย อุปกรณ์ทำอาหารเก็บไปให้คนมีหน้าที่ล้าง ลูกค้าด้านนอกนั้นหมด อารญาจึงเอ่ยลาพี่นี แล้วฉวยกระเป๋าก้าวออกจากร้าน เพราะวันนี้ร้านปิดดึกกว่าปกติ เธอต้องรีบกลับห้อง พรุ่งนี้มีเรียนเช้า และมีสอบในคาบบ่าย
ร่างระหงในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบ เดินนวดต้นคอออกมาจากร้านด้วยท่าทางเนือยๆ ก้มลงมองนาฬิกาตรงข้อมือ แล้วถอนใจ ดึกขนาดนี้ไม่รู้จะเรียกแท็กซี่ได้ไหม พอคิดว่าอาจจะต้องยืนรอแท็กซี่อยู่คนเดียวนานๆ อารญาก็ทำหน้ากังวล ขาเรียวจึงพลอยก้าวให้เร็วขึ้นอย่างร้อนใจ ทว่ายังไปไม่ทันพ้นซุ้มประตูโค้งหน้าร้าน ซึ่งมีเถาพวงแสดที่กำลังออกดอกเลื้อยพันอย่างสวยงาม ใครคนหนึ่งก็ก้าวมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียวเสียก่อน
อารญาตัวแข็งทื่อ พยายามเม้มปากไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมาด้วยความแตกตื่น ก่อนจะกลั้นใจหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของมือที่ตรึงข้อมือเธออยู่
“คุณ…ชาย”
สาวน้อยแทบจะครางออกมาในวินาทีที่เห็นหน้าเจ้าของมือ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นธีรเดช เธอนึกว่าเขากลับไปนานแล้วเสียอีก ไหนสาวเสิร์ฟบอกว่าลูกค้าเกลี้ยงร้านนานแล้ว
“ไปขึ้นรถสิ เดี๋ยวไปส่ง”
คุณชายหมอเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมคลายมือจากข้อมือเรียวของเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”
ท่าทางไว้ตัว เย่อหยิ่ง เหินห่าง แถมยังเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองและเรียกขานทำให้เขาส่งสายตาดุๆ มาให้ แต่สีหน้ายังคงไร้อารมณ์อย่างคงเส้นคงวาเช่นเดิม
“ดึกขนาดนี้ เธอไม่ควรจะอวดดี” เขาตำหนิ
“ไม่ได้อวดดีค่ะ แต่ไม่อยากรบกวน”
สาวน้อยตอบด้วยท่าทางเป็นปกติ ไม่มีแววแง่งอน ไม่ออกอาการกระเง้ากระงอดเหมือนอย่างที่ชอบแสดงออกกับเขา เพราะตระหนักดีว่าระหว่างเธอกับเขามันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว
ต่อไปนี้จะไม่มีพี่ธีของเธออีกแล้ว
“คุณชายคะ เรากลับกันเถอะค่ะ”
ทันทีที่มนธิราเดินมาเกาะแขนคุณชายธีรเดช อารญาก็พึมพำเอ่ยลา แล้วหมุนตัวเดินลิ่วจากมา จากตัดสินใจว่าจะรอแท็กซี่ เธอก็สาวเท้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ถัดไปราวสามช่วงตึก การเดินหนีไปก็ยังดีกว่าต้องทนเห็นเขาสองคนนั่งรถออกไปด้วยกัน ถึงแม้เธอจะพยายามบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง แต่การตัดใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
ยามบ่ายของกลางสัปดาห์ อารญาออกมานั่งในร้านกาแฟเยื้องๆ กับหน้ามหาวิทยาลัย ร่างระหงในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ เสื้อไม่รัดแค่เข้ารูปพอเหมาะ กระโปรงพลีทยาวคลุมเข่า รองเท้าผ้าใบสีขาวและถุงเท้าสีเดียวกัน เธอจะแต่งหน้าอ่อนๆ บางครั้ง แต่วันนี้ไม่แต่งหน้า ทาแค่แป้ง และลิปกลอส ผมมัดเป็นก้อนกลมๆ ไว้กลางหัวอย่างลวกๆ กำลังนั่งฟังวีดีโอเสียงของอาจารย์จากหูฟัง เพราะมีสอบกลางภาคในอาทิตย์หน้า
สาวน้อยนั่งที่เก้าอี้ยกสูงซึ่งเป็นที่นั่งเดี่ยวติดกระจก หันหน้าออกไปทางหน้าร้าน ในมือถือดินสอ ก้มลงจดยุกยิกลงกระดาษตรงหน้าเมื่อวีดีโอไปถึงจุดสำคัญ บางครั้งก็เอื้อมมือไปจิ้มขนมปังเนยนมน้ำตาลในจานกระเบื้องเคลือบลายน่ารักเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับ หยิบกาแฟดำมาจิบ จากนั้นก็ฟังวีดีโอเสียงอย่างตั้งใจ
ช่วงห้าโมงเย็นเธอมีเรียนอีกวิชา ปกติจะรอให้ถึงเวลาเรียนอยู่กับเพื่อนร่วมคณะที่โรงอาหาร แต่วันนี้ต้องมาสิงสถิตที่ร้านกาแฟแทน เพราะโรงอาหารมีดารามาถ่ายละคร เพื่อนคนอื่นต่างพากันด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้น เพราะรอขอถ่ายเซลฟี่กับดาราดัง ซึ่งคนที่ว่าก็คือนางเอกสาวคนสวยอย่างมนธิรา
นั่งฟังวีดีโอพร้อมจดใจความสำคัญเพื่อใช้อ่านทวนก่อนเข้าสอบผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง เสียงเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวฝั่งซ้ายก็ดังขึ้นเบาๆ แต่ทำลายสมาธิของเธอได้เหมือนกัน ร่างบางแต่กลมกลึงไปทุกสัดส่วนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจมอยู่กับสิ่งที่ฟังและกระดาษจดโน้ตเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วชำเลืองมองคนที่นั่งห่างออกไปประมาณหนึ่งช่วงแขน ก่อนจะหายใจสะดุด ตัวแข็งทื่อ เพราะคนที่ว่าคืออดีตคู่หมั้นของเธอ
ใจหนึ่งอารญาอยากเก็บของ ไปเช็กบิล แล้วแจ้นไปจากตรงนั้น แต่คิดได้เสียก่อน ว่าเธอไม่ควรจะหลีกหนีความจริง แต่ควรจะยอมรับมัน เขาก็อยู่ส่วนเขา เธอก็อยู่ส่วนเธอ
จากนั้นอารญาก็นั่งฟังวีดีโอเสียงของอาจารย์ด้วยอาการเกร็งๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่เธอรู้สึกเหมือนถูกมองจากคนที่นั่งห่างออกไปเล็กน้อยตลอดเวลา
เขาไม่พูด
เธอไม่พูด
แน่นอนว่าความอึดอัดก่อตัวขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะให้เธอหันไปคุยอะไรกับเขา ด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมาทำให้อารญามองหน้าเขาไม่ติด ส่วนเขาเองก็คงไม่อยากเสวนากับเธอเช่นกัน และที่เห็นคนที่ชอบสิงสถิตอยู่โรงพยาบาลมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ไม่บอกก็พอรู้ว่าเขามารับแฟนของเขา และที่มานั่งข้างๆ เธอก็คงจำใจ เพราะตอนนี้คนแน่นร้าน ซึ่งส่วนมากจะเป็นนักศึกษา ในจังหวะที่เขาเข้ามาที่นั่งข้างเธอก็คงว่างอยู่พอดี
หลังจากฟังวีดีโอเสียงจบไปอย่างทุลักทุเล เพราะใจมักจะเขวไปหลายหน จนต้องดึงสติคุมสมาธิหลายครั้ง สาวน้อยก็ลอบผ่อนลมหายใจออกมา ก้มลงมองนาฬิกาเรือนเล็กน่ารักที่ประดับอยู่ตรงข้อมือซ้าย เธอถนัดซ้าย หยิบจับข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างด้วยมือซ้าย แต่เขียนหนังสือมือขวา
ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง อีกตั้งชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงเวลาเรียนคาบสุดท้ายของวัน เธอภาวนาให้คนที่นั่งข้างกันออกไปจากร้านกาแฟ แต่ก็ไม่เป็นดังใจ นอกจากเขาจะไม่ไปไหนแล้วยังตั้งท่าจะปักหลัก เพราะหลังจากที่เธอสั่งมาม่าคัพและน้ำเปล่าไป ก็แว่วได้ยินเสียงห้าวทุ้มสั่งกาแฟ
ออเดอร์ของเธอกับของเขาถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกัน ประหนึ่งว่าทั้งสองมาด้วยกันและสั่งบิลใบเดียวกัน มือเรียวที่เล็บตัดสั้นเปิดกระดาษปิดปากถ้วยมาม่าคัพรสหมูสับออก แล้วใช้ส้อมพลาสติกคนเบาๆ เพื่อให้เครื่องปรุงและเส้นเข้ากัน จากนั้นก็จัดการปิดฝาลง วางซ่อมทับ แต่ฝามันยังกระดกขึ้น เธอจึงเอาพวงกุญแจห้องที่ห้อยตุ๊กตาจิ้งจกสีชมพูตัวเล็กไปทับไว้อีกที จากนั้นก็ก้มลงหยิบชีทในกระเป๋าใบโตทรงชอปปิ้งที่วางอยู่บนตัก
นำชีทวางลงบนโต๊ะ หยิบปากกาไฮไลต์สีเขียวและสีเหลืองออกมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างขะมักเขม้น แต่ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร เพราะจมูกเธอได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง กลิ่นบุหรี่จางๆ ผสานกับกลิ่นกาแฟดำ ทำให้ใจเธอสั่นอย่างน่าโมโห เขากับเธอชอบกาแฟดำเหมือนกัน เป็นความเหมือนอย่างเดียว นอกนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว