สะบั้นรัก (30%)
การนั่งและนอนหายใจทิ้งอยู่โรงพยาบาลทำให้อารญาเบื่อ เธออยากกลับบ้าน อยากไปเรียน แต่ความอยากทั้งหมดถูกพับเก็บ เพราะหมอยังไม่อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล
แอ๊ด!
เสียงเปิดประตู และแทรกตัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ถึงแม้ว่าผู้มานั้นจะเป็นคนคุ้นเคย หากว่าคนที่นั่งเหม่อมองสายฝนโปรยปรายนอกหน้าต่างกลับไม่รับรู้ ร่างผอมบางในชุดของโรงพยาบาล ที่มีใบหน้าซีดเซียว ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ในท่าเดิมเช่นนั้น กระทั่งใครบางคนเอ่ยทำลายบรรยากาศเงียบเหงา
“น้องอาย”
“พี่ดา…”
ทันทีที่เห็นว่าเป็นใครอารญาก็น้ำตาคลอ โผเข้ากอดร่างเพรียวที่มาหยุดยืนตรงข้างเตียง อีกฝ่ายลูบหัวเบาๆ แล้วเลื่อนมือมากุมแก้มเย็นชืดของน้องสาวต่างมารดา
“พี่เพิ่งกลับจากทำงานที่ใต้ ไม่มีใครบอกพี่สักคน”
ดาริกาเอ่ยบอก แล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงคนไข้
“แล้วพี่ดารู้เรื่องจากใครคะ”
“เพื่อนพี่เป็นพยาบาลอยู่ที่นี่ ยายเกดไงจำได้ไหม”
“อ๋อค่ะ”
“เราเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“โล่งอกไปที แล้วนี่คุณชายหมอเขามาดูน้องอายบ้างไหม”
คำถามอาทรแต่คนฟังกลับจุกอกจนแทบพูดไม่ออก
“เขาเป็นหมอเจ้าของไข้ค่ะ”
เธอเลี่ยงที่จะตอบไปตรงๆ แล้วเอ่ยถามไปถึงบิดา ต่อให้จะน้อยใจ เจ็บปวด และผิดหวัง ที่พ่อขายความเป็นคนของเธออย่างเลือดเย็น แต่ชีวิตเธอก็เหลือพ่อแค่คนเดียวที่เป็นสายเลือดเดียวกันแท้ๆ
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ”
“ท่านไปยุโรปกับแม่”
แม่ที่ว่าคือแม่ของอีกฝ่าย ไม่ใช่แม่ของเธอ เพราะผู้หญิงที่เธอรักและเทิดทูนได้จากโลกนี้ไปแล้ว ในใจได้แต่หวังว่าที่พ่อควงมารตีไปเมืองนอกคงไม่ได้เอาเงินที่ได้จากการขายความอัปยศและศักดิ์ศรีของเธอไปถลุง
“คืนนี้ให้พี่มานอนเฝ้าไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ดาเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวยายศรีก็มาแล้วค่ะ”
“งั้นพี่ไปนะ ต้องเข้าไปเคลียร์งานที่บริษัท ส่วนค่ารักษาพยาบาลเดี๋ยวพี่จะจัดการให้”
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องก็ได้ อายพอมีเงินเก็บอยู่”
“เอางั้นเหรอ”
“ค่ะ”
“ออกโรง’บาลวันไหนโทรบอกด้วย เดี๋ยวพี่มารับ”
สาวเวิร์กกิ้งวูแมนสุดเท่ในสายตาของอารญาบีบมือเธอเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ลุกขึ้น แล้วหมุนตัวเดินไปยังประตู สวนกับศรีจิตตราที่หอบหิ้วของกินพะรุงพะรุงมา มีทั้งของคาว ของหวาน และผลไม้ เพื่อนของเธอค้อมหัวให้ดาริกานิดหน่อย แต่ไม่ปริปากทักทายแม้แต่คำเดียว เพราะส่วนตัวแล้วศรีจิตตราไม่ถูกโฉลกกับผู้หญิงเรียบร้อยแบบนี้ ไม่รู้เป็นยังไงเธอรู้สึกไม่ชอบอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก ฉะนั้นเลยเลี่ยงที่จะผูกสัมพันตั้งแต่ต้น
“พี่สาวแกไปรู้ข่าวจากไหนมาวะ ถึงเพิ่งโผล่หัวมาได้”
“เพื่อนพี่ดาทำงานอยู่ที่นี่”
“ชิ…ถ้าจะมาตอนแกจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว อย่ามาดีกว่า”
“นี่เมื่อไหร่แกจะเลิกตั้งแง่กับพี่ดาสักที”
“ก็ฉันไม่ชอบผู้หญิงเรียบร้อยแอ๊บแบ๊วนี่วะ”
“แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงแบบนั้นจะไม่ดีสักหน่อย”
“ความปกป้องพี่สาวอะเนอะ” คนมีอคติในใจยังไม่วายเบ้ปากน้อยๆ ชวนหมั่นไส้
“ยายศรี!”
“เออๆ เอาเป็นว่าต่อไปนี้ฉันจะพยายามมองพี่สาวนอกไส้ของแกใหม่ก็แล้วกัน”
ทำท่าเหมือนยอมจำนน แต่ยังไม่วายแขวะเล็กๆ ในตอนท้าย จนอารญาส่ายหัวกับนิสัยเฉพาะตัวของศีรจิตตรา หากไม่ชอบใครตั้งแต่แรก อีกฝ่ายก็จะยังรักษาความรู้สึกนั้นชนิดคงเส้นคงวา
“ฉันซื้อของกินมาฝากแกเยอะแยะ”
“แน่ใจนะ ว่าไม่ได้ซื้อมากินเอง ของชอบแกทั้งนั้น”
คนบนเตียงแซวแม่สาวตัวเล็กช่างกินอย่างยิ้มๆ ทำเอาอีกฝ่ายส่งค้อนมาให้ ก่อนจะกระวีกระวาดวางของกินในมือลงบนโต๊ะชุดรับแขกที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้
“เออ…ลืมเล่าให้ฟัง เมื่อกี้ฉันเดินสวนกับหมอคนหนึ่ง หล่อมากเลยอะแก สูง ขาว ตี๋ แถมขายาวมากๆ ขาเขายาวกว่าอนาคตฉันอีกแน่ะ”
หลังจากนั่งแหมะลงตรงเก้าอี้ข้างเตียง ศรีจิตตราก็เริ่มร่ายยาวด้วยท่าทางเพ้อฝันแบบสุดๆ ไม่บอกก็รู้ว่าอาการของโรคบ้าผู้ชายแบบในนิยายกำลังกำเริบอีกแล้ว
วาจาในตอนท้ายทำให้อารญาหลุดหัวเราะออกมา ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงบ้านิยาย คลั่งพระเอกนิยาย เป็นสาวกซีรีส์จีนแนวพีเรียด และมโนว่าพระเอกซีรีส์ทุกคนเป็นหลัวมโนของตน จะเป็นถึงนักศึกษาเรียนดีของคณะบัญชี เธอกับอีกฝ่ายนิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่มาเป็นเพื่อนซี้กันได้ เพราะเคยไปออกค่ายอาสาด้วยกันบ่อยครั้ง เห็นหน้ากันบ่อยๆ ทำกิจกรรมร่วมกันแทบจะทุกเดือน ด้วยความที่ศรีจิตตราเป็นคนร่าเริงสดใสเธอจึงกล้าเปิดใจที่จะลองคบหาเป็นเพื่อน ไปๆ มาๆ ก็เลยกลายเป็นเพื่อนรักกันโดยปริยาย
เช้าของวันที่จะได้ออกจากโรงพยาบาล ศรีจิตตรากลับไปตั้งแต่ตีห้า เพราะมีเรียนแปดโมงครึ่ง ส่วนอารญาตื่นมาด้วยอาการกังวลใจเล็กน้อย แต่ก็หักห้ามความปั่นป่วนในอกลงได้ในที่สุด เธอมีแผนในใจว่าจะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคิดไตร่ตรองมาแล้วทั้งคืน ว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรทำ
เสียงประตูเปิด ตามด้วยเสียงฝีเท้าคุ้นหูที่ก้าวตรงมาหา ทำให้คนที่กำลังเช็กว่าตัวเองจะต้องไปเก็บชั่วโมงเรียนวิชาใดเพิ่มบ้างเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ วางมันลง แล้วลุกขึ้นนั่ง
“วันนี้มีอาการผิดปกติอะไรไหม” ทันทีที่มาถึงคุณชายหมอก็เริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง เสียงห้าวทุ้มเอ่ยถาม ขณะเปิดอ่านรายงานผลเลือดและปัสสาวะอย่างถ้วนถี่
“ไม่มีค่ะ”
เธอขยับปากตอบพลางส่ายหน้า จากนั้นก็นั่งตัวแข็งทื่อให้เขาใช้หูฟังตรวจอัตตราการเต้นของหัวใจ ซักถามอาการอื่นๆ อีกเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกมา
“งั้นวันนี้ช่วงสายก็ออกจากโรงพยาบาลได้”
“ค่ะ”
“ส่วนใบรับรองแพทย์เดี๋ยวพยาบาลจะเอามาให้”
ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามหน้าที่ที่หมอพึงกระทำ ไม่มีเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ไม่มีความอาทรในแบบคนเคยคุ้นปรากฏให้เห็นแม้เพียงเศษเสี้ยว
หึ! ก็เย็นชาสมเป็นเขาดี
“ขอบคุณค่ะ”
“ค่ารักษาพยาบาล พี่จะจ่ายให้”
“อย่าลำบากเลยค่ะ ฉันจ่ายเองได้”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย ยื่นชาร์ตคนไข้คืนให้พยาบาล มองหน้าเธอด้วยสายตาที่เดาอารมณ์ไม่ออกชั่วอึดใจ ก่อนจะตั้งท่าก้าวไปยังประตู
“เดี๋ยวค่ะ…”
เท้าที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้ายี่ห้อหรูหยุดกึก ธีรเดชยืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมายืนข้างเตียง ในจังหวะที่พยาบาลสาวเดินพ้นห้อง เขาถึงได้เอ่ยออกมา
“เรามีอะไรจะพูดก็ว่ามาเถอะ”
“นี่ค่ะ ของคุณ ฉันคืนให้”
เธอเอ่ยเสียงผาดแผ่ว ขณะยื่นแหวนหมั้นที่เพิ่งถอดออกจากนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองส่งให้เขา
ต้องใจแข็งแค่ไหน ถึงกล้าเอาของแทนใจที่ใส่ติดตัวมาตลอดหลายปีคืนให้เขา
ก็มันไม่ใช่ของเธอ ต่อให้อยู่กับเธอมันก็ไม่ใช่ของเธออีกต่อไป ฉะนั้นเอาคืนเขาไปน่ะถูกแล้ว จะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคากันอีก เจ็บแต่จบ จากกันแบบไม่มีสายใยใดๆ ย่อมดีที่สุด
“พี่ให้แล้ว ไม่รับคืน”
“เอาไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากได้มันแล้ว”
“…”
เขาไม่พูด แต่สีหน้ากระด้างขึ้น ตั้งท่าจะเดินหนี หากอารญาไม่คว้าข้อมือแกร่งเอาไว้เสียก่อน ร่างใหญ่เหมือนชะงักไปวูบหนึ่ง ก้มลงมองมือเธอนิ่งๆ จนอารญาต้องรีบปล่อย แล้วยัดแหวนใส่มือเขา
“ต่อจากนี้เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วนะคะ ลาก่อนค่ะ”
กล่าวเสียงสั่นเครือจนเกือบเป็นร้องไห้เสร็จ อารญาก็กลั้นใจก้าวขาลงจากเตียง ฉวยกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำ โดยไม่สนคนที่ยืนกำแหวนนิ่ง กลับออกมาอีกครั้งก็ไม่เห็นเขาเสียแล้ว
ถามว่าเจ็บไหม?
ตอบเลยว่ามากที่สุด เจ็บเหมือนจะตายเสียให้ได้ แต่ในเมื่อเขาไม่รักไม่ต้องการเธอก็ต้องปล่อยเขาไป เขามีทางเดินของเขาที่ไม่มีเธอร่วมด้วย ส่วนเธอเองก็เลือกทางเดินที่จะไม่มีเขาเช่นกัน
เกือบเดือนเห็นจะได้ ที่นักศึกษาเรียนดีคณะบัญชีเช่นอารญาเริ่มรับทำบัญชี เธอชื่นชอบการทำบัญชี เพราะคุณปู่เคยสอนให้คิดคำนวณในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จนเธอเก่งเทียบเท่าคนอายุมากกว่า อีกทั้งทำงานพาร์ทไทม์หารายได้พิเศษในช่วงหลังเลิกเรียน โดยไปเป็นผู้ช่วยแม่ครัวใหญ่ของร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพราะไม่อยากแบบมือขอเงินพ่อ เธอรู้ดีว่าที่บ้านกำลังแย่ การเงินขาดสภาพคล่อง จึงไม่อยากเป็นภาระ
หลายคนปรามาสว่าอารญาจะไปไม่รอดกับตำแหน่งผู้ช่วยแม่ครัวใหญ่ เพราะลุคคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทว่าตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ อารญาได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็น และลบคำสบประมาทได้อย่างไร้ข้อกังขา การทำอาหารคงเป็นพรสวรรค์ที่คนบนฟ้าประทานให้ และมันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอเพลิดเพลินจนลืมวันเวลา