ตอนที่ 6 ผู้มาเยือนกลางดึก
ตอนที่ 6
จวนสกุลหาน
จวนสกุลหานนั้นมีอยู่ด้วยกันสองจวนคือ จวนเดิมที่เคยเป็นของหานซ่งเยี่ย อดีตแม่ทัพใหญ่ ที่จบชีวิตลงในช่วงที่ทำสงครามใหญ่ระหว่างแคว้นข้างเคียง และจวนหลังใหม่ ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานที่ดิน แล้วให้กองโยธาลงมือสร้างจวนนี้ขึ้น เพื่อเป็นรางวัลที่หานห่าวซวน ทำศึกสงครามต่อจากบิดา ตั้งแต่ผ่านพิธีสวมกวาน จนบัดนี้แคว้นฉินสามารถรวบรวมแคว้นน้อยแคว้นใหญ่ให้รวมเป็นปึกแผ่นได้
ที่จวนหลังเดิมนั้นหานฮูหยินใหญ่ อาศัยอยู่กับบุตรชายคนรองและบุตรสาวคนเล็ก รวมไปถึงลูกสะใภ้และหลาน ๆ
ส่วนหานห่าวซวนเลือกที่จะปลีกตัวออกมาอยู่จวนหลังใหม่ พร้อมกับทหารในสังกัด เพราะว่ามีความเป็นส่วนตัว เงียบสงัด ยามที่จะคิดอ่านวางแผนทำการศึก
นอกจากนี้ใครคนหนึ่งจะได้ลอบปีนกำแพงเข้ามาหาเขาได้สะดวก...ช่างน่าขัน คนผู้นี้ก็แปลกพิกล ชอบที่จะเสี่ยงออกมา แทนการเรียกให้ตัวเขาไปพบ ซึ่งอย่างหลังดูจะมีอันตรายน้อยกว่าด้วยซ้ำ
ค่ำคืนอันเงียบสงัดนี้ก็เช่นกัน ยามจื่อ (23.00-24.59) เป็นเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนพากันนอนหลับพักผ่อน ยกเว้นพวกที่เฝ้าเวรยาม หรือโจรผู้ร้ายที่คอยเวลาให้เจ้าของจวนหลับ จะได้พากันเข้ามาปล้นชิงเอาของมีค่าไป
...ตุ๊บ...
เสียงเหมือนสิ่งของที่มีน้ำหนัก กระทบพื้นบริเวณหน้าต่างห้องนอนที่ไม่เคยปิด แม้เสียงนั้นจะพยายามให้เบามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
บุรุษเจ้าของจวนที่หลับสนิท แม้ว่าเสียงที่เกิดขึ้นจะแผ่วเบามากเพียงไหน เขาก็รู้สึกตัวตื่น มือหนาควานหากระบี่คู่ใจ ก่อนจะลุกออกจากเตียงไปยืนหลบอยู่ในบริเวณที่อับสายตา
แม้ภายในห้องจะมืดมิด เพราะเทียนไขทุกเล่มถูกดับแสงจนหมด แต่คนที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีอย่างห่าวซวน ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในห้องนอนของตนเอง
เงาตะคุ่มเงาหนึ่ง ดูจากขนาดน่าจะมีส่วนสัดพอ ๆ กับห่าวซวน กำลังค่อย ๆ เขย่งปลายเท้าย่องไปบริเวณเตียงไม้แกะสลักจากช่างฝีมือดี แต่ก่อนที่เงานั้นจะเข้าใกล้เตียงไปมากกว่านี้
หานห่าวซวนก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบเสียง ไปยืนประชิดด้านหลังเงาตะคุ่มนั้น พร้อมกับกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝักถูกยกขึ้นไปจ่อที่ลำคอของผู้บุกรุก
“กล้าบุกจวนแม่ทัพ มิกลัวจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรือ” เจ้าของกระบี่เอ่ยเสียงเหี้ยม
“แล้วเจ้าเล่าไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าเจ็ดชั่วโคตรรึ”
เสียงนุ่มที่ตอบกลับมา ทำให้คนที่ยิ้มยากอย่างแม่ทัพหนุ่มยอมเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนตัวเขาจะเก็บกระบี่ที่ดื่มเลือดคนมานักต่อนัก พร้อมกับเทียนไขถูกจุดให้พอมีแสงสว่าง มองเห็นภาพภายในห้อง
“กระหม่อมไหนเลยจะกล้าล่วงเกินทำอันตรายฝ่าบาทได้ กระหม่อมรู้ตั้งแต่เสียงพระองค์ปีนหน้าต่างเข้ามาแล้ว”
“สงสัยข้าจะฝึกวิชาตัวเบาที่เจ้าสอนให้ไม่มากพอ ไว้คราวหลังเจ้าไม่มีทางจับข้าได้แน่”
ฮ่องเต้โจวหลิวหยางทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงไม้อันแข็งกระด้างอย่างคนคุ้นเคย ทอดสายตามองบุรุษตรงหน้าที่เป็นทั้งทหารผู้จงรักภักดีและสหายสนิทที่ยอมตายแทนตนได้ นัยน์พระเนตรของผู้สูงศักดิ์บ่งบอกชัดว่าศรัทธาในตัวแม่ทัพผู้นี้มากเพียงไหน
ทำไมนั้นหรือ เมื่อครั้งยังเป็นเพียงองค์ชายธรรมดา ฮ่องเต้เป็นองค์ชายที่ไม่เอาไหน ความสามารถในด้านการทหารก็ไม่มี ด้านการวางกลศาสตร์ก็ไม่ถึงขั้น แต่กลับถูกฮ่องเต้องค์เดิมยัดเยียดตำแหน่งโอรสสวรรค์มาให้ แทนบรรดาองค์ชายองค์อื่น ๆ หรือกระทั่งรัชทายาท ด้วยความที่ไม่เอาไหนนี้ หากไม่มีห่าวซวนที่ตอนนั้นถูกเสด็จพ่อส่งมาเป็นองครักษ์ข้างกาย รวมถึงฮองเฮาที่มีความสามารถทั้งด้านการรบและการปกครองคอยช่วยเหลือ ปานนี้ฮ่องเต้หลิวหยางคงตายไปด้วยน้ำมือของบรรดาพี่น้องที่อยากแย่งชิงอำนาจแล้วล่ะ
“ฝ่าบาท หากมีธุระสำคัญ กระหม่อมว่าเลิกลักลอบออกจากวัง แล้วเรียกกระหม่อมไปเข้าเฝ้าแทนเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่อยากถูกฮองเฮาเล่นงานอีก”
โอรสสวรรค์ขวัญผวาเล็กน้อย ยามคิดถึงตอนที่กลับเข้าวังหลวง ฮองเฮาอันเป็นนางที่รักคงรอที่จะทำโทษตนอยู่ เพราะทุกการกระทำไม่สามารถปิดบังสายตาของนางได้เลย แต่ทำอย่างไรได้ ข่าวที่ได้รับรายงาน ทำให้พระองค์มิอาจทนนิ่งเฉยรอจนถึงฟ้าสว่างได้
“มิใช่ข้าไม่กลัวนาง แต่ว่าข้ามีเรื่องที่คอขาดบาดตาย อยากจะวานให้เจ้าช่วยตามสืบ หากเรื่องนั้นเป็นความจริง เจ้าก็จงช่วยหาทางแก้ไข หาหลักฐานมาให้ข้าด้วย”
“เรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
โอรสสวรรค์กวักพระหัตถ์ให้สหายสนิทขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยวาจาให้แผ่วเบาที่สุด เล่ารายละเอียดเรื่องที่มีผู้ส่งฎีการ้องเรียนมา
แม่ทัพหนุ่มฟังเรื่องราวทุกอย่างจบ นิ่งงันไปครู่หนึ่ง เพราะไม่มีคลื่นใต้น้ำมาก่อนเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“พระองค์ทรงแน่พระทัยว่าไม่มีใครเปิดฎีกาฉบับนี้มาก่อน” หลังจากที่คิดไตร่ตรองอยู่นาน ว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงไหน จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“แน่ใจสิ...ดังนั้น ข้าอยากให้เจ้าสืบหาผู้ส่งฎีกานี้ และหาทางเค้นคอถามหาความจริง ยิ่งเรามีหลักฐานมากเท่าใด เราจะได้เล่นงานคนที่คิดทรยศได้เร็วเท่านั้น”
“กระหม่อมจะเร่งสืบหาความจริงและพยานตามรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หานห่าวซวนน้อมรับคำสั่งจากโอรสสวรรค์ด้วยความเต็มใจ เพราะบิดาได้สั่งเสียก่อนตาย ว่าให้ปกป้อง อยู่ข้างกายฝ่าบาท จนกว่าชีวิตจะหาไม่
“ข้าขอบใจเจ้ามากสหาย ในวังหลวงแห่งนี้ นอกจากฮองเฮาก็มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละ ที่ข้าไว้วางใจ”
ฮ่องเต้โจวหลิวหยางลุกขึ้นขยับเข้ามาใกล้บุรุษที่นั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะเอื้อมมือไปตบที่ไหล่กว้าง
“ให้กระหม่อมตามไปส่งไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“แค่องครักษ์เงาที่เจ้าแอบส่งไปคุ้มกันข้ายังไม่พออีกหรือ”
“ฝ่าบาทเองก็รอบรู้ไม่แพ้ฮองเฮาแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
โอรสสวรรค์ยิ้มกว้าง ตอบรับคำชมนั้น ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาที่สหายเพียรสั่งสอนเดินทางออกจากจวนหานหลังใหม่กลับเข้าวังหลวง จะไม่ให้ภาคภูมิใจได้อย่างไรเล่า กว่าจะเก่งขึ้นมาถึงเพียงนี้ ต้องถูกฮองเฮาและสหายเข่นเขี้ยวฝึกสอนหนักหนาเอาการ...
ทันทีที่โอรสสวรรค์กลับไป โดยมีเหล่าองครักษ์เงาคอยตามถวายความปลอดภัย หานห่าวซวนเรียกตัวทหารฝีมือดีสองนาย ให้ออกไปตามหาตัวผู้ส่งฎีกามาโดยเร็วที่สุด
ตลอดคืนนั้นแม่ทัพหนุ่มมิอาจข่มตาให้หลับได้ จิตใจร้อนรุ่ม ยามรู้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังคิดจะปองร้ายฝ่าบาท
จนเกือบฟ้าสว่างทหารมือดีสองนาย ได้หิ้วปีกชายวัยกลางคน ที่ทำหน้าที่อยู่ในห้องครัวหลวงติดไม้ติดมือกลับมาด้วย
และอีกหนึ่งชั่วยามที่หานห่าวซวนต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง เค้นคอถามหาความจริง ว่าทำไมถึงได้แอบส่งฎีกานั้นถวายให้ฝ่าบาท
เมื่อได้รู้ความจริงทุกอย่าง แม่ทัพหนุ่มให้ทหารจัดการพาชายวัยกลางคนผู้นี้กับครอบครัวของเขา ออกนอกเมืองไปที่ชายแดน กบดานอยู่ที่นั่นก่อน ไว้รอให้เขารวบรวมหลักฐานพยานได้มากกว่านี้ ถึงจะไปรับกลับคืนมา
ยามเฉิน (07.00-08.59) เจ้าของจวนหลังใหม่ ทอดกายนั่งลงบนม้านั่งโยก พร้อมกับปิดเปลือกตาลง เพียงเพื่ออย่างพักสายตาคิดทบทวนแผนการว่าจะทำอย่างไรต่อไปเท่านั้น
“ท่านแม่ทัพขอรับ”
“อาหลงหรือ เข้ามาได้”
ผู้ติดตามของแม่ทัพใหญ่เดินถือแผ่นกระดาษใบหนึ่งเข้ามา ก่อนจะยื่นไปข้างหน้าด้วยท่าทีนอบน้อม
“ข้าน้อยได้รับรายงานจากทหารยามเฝ้าประตูว่า มีคนนำสารนี้มาส่ง บอกให้ส่งถึงมือท่านแม่ทัพด้วยขอรับ”
หานห่าวซวนลืมตายื่นมือไปรับจดหมายมาคลี่เปิดอ่านเนื้อความด้านใน...