ตอนที่ 4 บุรุษที่หมายปอง
ตอนที่ 4
กว่าแผลจากการถูกโบยจะหายก็กินเวลาหลายวัน ถึงแม้ว่าซีฮันจะเจ็บแผลมากแค่ไหน นางก็ยังต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ตามที่ฮูหยินใหญ่มอบหมายมาให้
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน นางกับสาวใช้ข้างกาย กำลังลงมือช่วยกันซักผ้าอยู่ที่ลานซักล้าง ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองเงียบ ๆ ไม่ได้พูดกล่าวอันใดกัน
“ข้าว่าแล้ว พวกเจ้านายบ่าวต้องอยู่ที่นี่”
อู๋กุ้ยฟางเดินนำบ่าวคนสนิท มาหยุดยืนตรงหน้าคนทั้งสองที่กำลังขมีขมันซักผ้ากองโต นัยน์ตาลูกท้อเจือไปด้วยความสมเพชในวาสนาของสหาย ที่ต้องมาถูกกดขี่ข่มเหงแบบนี้
“กุ้ยฟาง มาหาข้ามีธุระอันใดเร่งด่วนหรือเปล่า”
สตรีที่ก้มหน้าก้มตาซักผ้าในอ่าง แหงนใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อขึ้นมองสหายสนิท เพราะหากไม่มีธุระสำคัญสหายผู้นี้ จะไม่ยอมเหยียบเข้ามาในจวนนี้เด็ดขาด
“มีสิ แต่ว่าเจ้าทำงานให้เสร็จก่อนก็ได้ เดี๋ยวข้าไปนั่งรอเจ้าที่เรือนก่อน”
กล่าวจบหญิงงามก็หมุนตัวเดินตรงไปยังเรือนหลังขนาดกลางอันเป็นที่พักของสหายสนิท อย่างคุ้นเคย แม้จะไม่ได้มาเยี่ยมเยือนบ่อยเท่าใดนัก
ส่วนตัวของเจ้าของเรือนเองก็เร่งมือซักผ้าให้เสร็จ เพราะขืนปล่อยให้กุ้ยฟางรอนานอีก นางอาจจะโกรธหนีกลับไปก่อนก็ได้
เมื่อทำงานทุกอย่างเสร็จแล้ว สตรีร่างเพรียวระหงก็รีบก้าวเท้าตรงกลับไปยังเรือนปีกตะวันออก เข้ามานั่งในโถงรับรอง ที่กุ้ยฟางนั่งจิบชารออยู่ก่อนแล้ว
อู๋กุ้ยฟางย่นจมูกไม่พึงประสงค์กับกลิ่นเหงื่อที่โชยออกมาจากตัวเพื่อน แต่เพื่อธุระสำคัญจำต้องเก็บอารมณ์รังเกียจเอาไว้
“ซีฮัน ลองทายดูสิ ว่าวันนี้มีเรื่องดี ๆ อะไรเกิดขึ้น”
หญิงงามกล่าวขึ้น ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มหวาน นัยน์ตาคู่งามหยาดเยิ้ม ยามที่ครุ่นคิดถึงเรื่องดี ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
อารมณ์ดีของสหายพลอยทำให้สตรีเจ้าของเรือนอารมณ์ดีจนเผลอยิ้มกว้างออกมาไปด้วย
“ทายไม่ถูกหรอก เจ้าบอกมาเถอะ”
“วันนี้มีเทียบเชิญจากแม่ทัพหาน ส่งมาชวนออกไปทานอาหารด้วยกัน...เขาต้องคิดอะไรกับข้าแล้วแน่ ๆ รักแรกพบอะไรประมาณนั้น”
“อ๋อ...เป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ”
แม้ปากและใจส่วนใหญ่ จะดีใจที่ความรักของสหายเป็นไปในทางที่ดี แต่อีกใจที่อยู่ส่วนลึก กลับรู้สึกหนักอึ้งแปลก ๆ
“ทำไมหน้าซีดแบบนั้นเล่า”
บุตรีของเสนาบดีชะโงกตัวเข้าใกล้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม เมื่อครู่ยังดี ๆ อยู่ แต่พอบอกเรื่องข่าวดี กลับซีดเซียวลงทันตาเห็นเลยเชียว
“ไม่เป็นอะไรมาก สงสัยคงตากแดดมากเกินไป”
“ถ้าอย่างนั้น รีบไปอาบน้ำล้างคราบเหงื่อไคลกับกลิ่นเหม็นออก จะได้สดชื่น พวกเราจะได้รีบไป”
“ไปไหน”
ซีฮันถามออกมา ในเมื่อกุ้ยฟางบอกจะไปทานข้าวกับบุรุษที่นางหมายปอง แล้วทำไมถึงบอกว่าพวกเราเล่า
“ก็ไปทานอาหารกับท่านแม่ทัพหานนะสิ อ้อ...ข้าลืมบอกไป ว่าหากเป็นไปได้ก็ให้ชวนเจ้าไปด้วย เพราะอยากจะปลอบขวัญเรื่องวันที่ไปรอรับขบวนทหารนะ”
“แต่ว่า ท่านแม่...”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ”
ซีฮันจึงทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ราบเรียบ เพราะไม่อยากจะทำตัวเด่นกว่ากุ้ยฟาง
สตรีทั้งสองก็ตรงไปที่เรือนใหญ่ เพื่อเข้าพบเฉียนฮูหยิน เพื่อกล่าวขออนุญาตออกไปด้านนอก จ้าวฮูหยินใหญ่ไม่กล้ามีเรื่องกับบุตรีของเสนาบดีฝ่ายขวา จึงยอมอนุญาตให้ออกไปแต่โดยดี เพียงแต่ให้กลับมาก่อนที่ใต้เท้าจ้าวจะกลับมา
ดังนั้นสตรีทั้งสองจึงได้นั่งรถม้าคันหรูของสกุลอู๋ไปยังจิ่วโหลว (ภัตตาคาร) ชื่อดัง ตามที่บุรุษหนุ่มนัดหมายเอาไว้ รถม้าแล่นมาได้ไม่นานก็มาหยุดอยู่หน้าร้านหรู ที่บรรดาผู้มีอันจะกิน นิยมพากันออกมาทานอาหารนอกบ้าน
“ซีฮัน ข้าดูเรียบร้อยหรือยัง”
“ดูดีแล้ว ไปกันเถอะ”
สตรีที่มีความงามไม่เป็นสองรองใครทั้งสองคนกับสาวใช้พากันเดินขึ้นไปบนชั้นสองของจิ่วโหลว พบว่าท่านแม่ทัพผู้ส่งเทียบเชิญได้มาถึงก่อนแล้ว
“แม่นางอู๋ แม่นางจ้าว นั่งลงเถอะ ข้าสั่งอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว”
ซีฮันรอให้สหายเลือกเก้าอี้ที่ใกล้กับบุรุษที่นั่งหน้านิ่งก่อน ส่วนตัวนางก็เลือกเก้าอี้ตัวที่ห่างออกมา
“ก่อนอื่น ต้องขอโทษแม่นางทั้งสอง ที่วันนั้นม้าของข้าเกือบจะเหยียบพวกแม่นาง วันนี้จึงถือโอกาสนัดออกมาเลี้ยงปลอบขวัญ ลงมือทานกันเถอะ”
“ท่านแม่ทัพก็คิดมากไปแล้ว วันนั้นเป็นเพราะพวกชาวบ้านพากันเบียดเสียด จนข้ากับสหายล้มลงไปขวางทางม้า หาใช่ความผิดของท่านแม่ทัพไม่”
กุ้ยฟางกล่าวเสียงเล็กเสียงน้อย ดวงตาคู่งามหวานหยาดเยิ้ม จับจ้องมองใบหน้าหล่อเหลา แม้ใบหน้านั้นจะนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกอันใดออกมาเลยแต่นั่นยิ่งทำให้บุรุษผู้นี้น่าค้นหามากยิ่งขึ้น
“นั้นอาจจะเป็นข้ออ้างของข้า ที่จะได้เลี้ยงอาหารแม่นางทั้งสองกระมัง”
ซีฮันที่เอาแต่จ้องมองอาหารตรงหน้า เผลอช้อนสายตาขึ้นสูง หลังจากเสียงคมเข้มกล่าวออกมาแบบนั้น
ดวงตาเหยี่ยวคู่นั้นที่นางเผลอจ้องมอง ยังคงสร้างความอบอุ่นให้หัวใจดวงน้อย ๆ เสมอ แต่พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป นัยน์ตาหงส์รีบหลุบลงต่ำ พร้อมกับความรู้สึกผิด ที่เผลอคิดไปไกลกับบุรุษที่สหายหมายปอง
หญิงสาวจึงเลือกที่จะไม่เงยหน้าขึ้นสูงไปกว่าอาหารหลากหลายเมนูที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะ ทานอาหารแบบเงียบ ๆ ฟังสองหนุ่มสาวสนทนากัน โดยที่มิได้ร่วมสนทนากับคนทั้งสอง
“แม่นางจ้าวหิวมากเลยหรือ เห็นก้มหน้าก้มตาทานไม่พูดไม่จาเลย”
“แคก ๆ”
เมื่ออยู่ ๆ คนที่เจรจาอย่างออกรสออกชาติกับสหาย มาเอ่ยทักโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ทำให้สตรีที่ตั้งหน้าตั้งตาอยู่แต่กับการตักอาหารเข้าปาก เกิดอาการสำลักออกมา
“ซีฮัน เจ้านี้หนาจะตะกละตะกลามไปไหน เอานี่ดื่มน้ำเสียก่อน”
กุ้ยฟางรีบเข้ามาลูบแผ่นหลัง พร้อมกับยื่นน้ำดื่มให้คนที่กำลังไอสำลักจนหน้าดำหน้าแดง
ซีฮันรีบรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว อาการสำลักจึงค่อย ๆ ดีขึ้น
“ขอบใจเจ้ามาก...ขอประทานโทษด้วยเจ้าคะ ท่านแม่ทัพ”
ประโยคหลังหญิงสาวหันไปกล่าวกับบุรุษหนึ่งเดียวในโต๊ะ ตัวต้นเหตุที่ทำให้นางสำลักข้าว แต่ยังไม่ยอมเงยใบหน้าขึ้นมองสูงไปกว่าแผงอกของชายหนุ่ม
“หายหรือยัง จะดื่มน้ำอีกหรือไม่” เสียงคมเข้มเอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
อาจจะเป็นการถามตามมารยาท แต่ทำไมซีฮันถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขานั้นดูเป็นห่วงนางไม่น้อย
“ซีฮัน ที่เจ้ารีบกิน เพราะจะรีบกลับไปทำธุระให้ท่านแม่ใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น เจ้านั่งรถม้าข้ากลับไปก่อนก็ได้”
ซีฮันแหงนหน้ามองสหายที่กลับไปนั่งลงประจำที่แล้ว ไม่เข้าใจว่ากุ้ยฟางนางต้องการอะไร แต่พอถูกมือเล็กของสหายยื่นมาหยิกที่ต้นขาถึงได้คิดออก ว่านางคงไม่อยากให้ตนอยู่เป็นก้างขวางคอเป็นแน่
“ใช่แล้ว ท่านแม่ทัพ วันนี้ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน อยากจะวานท่านไปส่งสหายข้าให้ถึงจวนด้วย...กลับก่อนนะกุ้ยฟาง”
กล่าวจบหญิงสาวก็รีบลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินออกจากห้อง ยังเห็นสัญญาณของสหายที่ส่งมาบอกว่าทำได้ดีมาก นางก็ทำเพียงยิ้มอ่อน ๆ ตอบกลับไป แล้วรีบเดินหนีออกจากตรงนั้น เพื่อเปิดอาการให้คนทั้งสองได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ทั้ง ๆ ที่ในใจส่วนลึกสั่งการให้นางอยู่เป็นก้างขวางคอ...