ตอนที่ 2 การเดินทางแสนเศร้า[1]
เมื่อวานหลังจากที่ออกมาจากตระกูลไต้หานว่านอี้ก็เข้าพักที่โรงเตี้ยมในเมืองหลวงหนึ่งคืน เช้านี้จึงได้ออกเดินทางเพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของตนเองที่เมืองผาซาน บ้านที่นางจากมาตั้งแต่อายุยังน้อย บ้านที่มีความทรงจำของตนเองกับบิดามารดาก่อนที่พวกท่านจะจากไป หลังจากนั้นนางจึงได้ย้ายมาอยู่ที่ตระกูลไต้จนได้แต่งงานเป็นฮูหยินเอกของไต้เว่ย
หานว่านอี้เดินทางมาได้สองชั่วยามแล้ว ภายในรถม้า หานว่านอี้นั่งมองทิวทัศน์ด้านนอกด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น ความเปล่าเปลี่ยวถาโถมโลดแล่นเข้าเล่นงานจิตใจของนางอย่างโหมกระหน่ำ สายธารน้ำตาเอ่อนองล้นกรอบใบหน้าอย่างน่าเวทนา จิตใจของสตรีนางนี้จวนเจียนจะแหลกสลายลงเต็มทีแล้ว แต่ก็ต้องพยายามประคับประคองตนเองเอาไว้เพื่อบุตรในครรภ์ที่ยังไม่ทันได้ลืมตามาดูโลก
“แม่ขอโทษนะ ที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก...” หานว่านอี้ลูบท้องของตนเองเบา ๆ น้ำเสียงของนางทุก ๆ การเอื้อนเอ่ยเคล้าคลอไปด้วยความเศร้าโศกอย่างสุดหัวใจ
การเดินทางโดยรถม้าแม้จะรวดเร็ว แต่ก็ทุลักทุเลสำหรับสตรีมีครรภ์อยู่พอสมควร การกระทบกระเทือนของทางที่ขรุขระทำให้หานว่านอี้นั้นรู้สึกไม่สบายตัวสักเท่าไหร่ ท้องของนางปวดหน่วงอยู่เป็นพัก ๆ เมื่อยามที่ล้อของรถม้าตกหล่ม ศีรษะหรือก็เวียนหมุนพะอืดพะอมไปหมด
“ชะ...ช้าก่อน ได้โปรด หยุดรถม้าให้ข้าที...” หานว่านอี้เอ่ยออกไป เมื่อนางรู้สึกว่าเริ่มที่จะอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้จะไม่ได้กินสิ่งใดมาก่อนออกเดินทางเลยแม้แต่นิด แต่สำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์แล้ว การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้นางอาเจียนได้ ร่างกายที่อ่อนไหวต่อสิ่งเร้าทุกสิ่งรอบข้างเช่นนี้ ทำให้หานว่านอี้ยิ่งดูน่าสงสารจับใจ
“อุบ แหวะ!!” ทันทีที่รถม้าจอดสนิทลง ณ ศาลาที่พักริมทาง หานว่านอี้ก็พรวดพราดลงจากรถม้าไปในทันที นางอาเจียนออกมาโดยไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาช่วยลูบหลัง ดวงตาหรือก็เริ่มพร่าเบลอ แสบร้อนลำคอและทรวงอกไปหมด
“ท่านเป็นอันใดหรือไม่ แม่นาง” คนขับรถม้าเอ่ยถาม ร่างของชายฉกรรจ์เดินตามหานว่านอี้มาด้วยสายตาที่มีท่าทีเป็นห่วง
“ขออภัยท่านด้วยที่ทำให้ต้องล่าช้า แต่ข้าคิดว่าข้าคลื่นเหียนเกินกว่าจะเดินทางต่อไปได้ ขอข้าพักสักหน่อยจะได้หรือไม่” หานว่านอี้เอ่ย
“ได้สิขอรับ เช่นนั้นแม่นางขึ้นไปนั่งพักบนรถม้าเถิด เอนกายให้หายเวียนหัวสักหน่อยแล้วเดี๋ยวข้าจะปลุกท่านเอง ตอนนี้ตะวันตรงหัว แดดกำลังแรงไม่ค่อยดีกับสตรีตั้งครรภ์นัก” คนขับรถม้ากล่าว
หานว่านอี้ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สิ่งที่นางทำมีเพียงพยักหน้ารับอีกฝ่าย ยามนี้นางเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียเกินกว่าที่จะกล่าวอะไรต่อไปได้แล้ว
“ขออภัยแม่นาง คงต้องล่วงเกินแล้ว”
คนขับรถม้าเอ่ยขึ้นก่อนจะช่วยประคองร่างระหงย่างก้าวเดินขึ้นไปบนรถม้าอย่างลำบาก หานว่านอี้นั่งลงที่เดิมตรงที่นางเคยนั่งตั้งแต่เดินทางออกมาจากเมืองอันเป็นที่อยู่ของตระกูลไต้ ก่อนจะเสสายตาที่จวนเจียนจะปิดลงมองไปยังคนขับรถม้าที่ท่าทีเป็นมิตรก่อนหน้านั้นหายไปจนหมดสิ้น
“ท่านไม่ลงไปหรือ”
“อากาศร้อนอบอ้าวเยี่ยงนี้ แม่นางผู้ใจดีจะไม่มีเมตตาให้ข้าอยู่บนนี้ด้วยสักหน่อยหรือขอรับ” อีกฝ่ายเอ่ยตอบด้วยสายตาลุกลี้ลุกลน ทำให้หานว่านอี้รู้สึกถึงภัยร้ายที่กำลังคุกคามนางจากชายตรงหน้านี้
“ข้าว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ อีกอย่างเจ้าควรไปพักที่ศาลาริมทางมากกว่า”
“จะมีอันใดไม่เหมาะหรือขอรับ ท่านมิใช่ฮูหยินของนายน้อยไต้แล้ว ไร้ซึ่งยศศักดิ์ เป็นเช่นคนธรรมดาระดับเดียวกับข้า อย่าทะนงตัวเกินไปนักเลยแม่นาง” วาจาที่เคยนอบน้อมพินอบพิเทายามนี้มันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นว่าจาส่อเสียดระคนดูแคลน