ตอนที่ 2 การเดินทางแสนเศร้า[2]
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
“เจ้าเองก็หน้าตาจิ้มลิ้มน่าเชยชม ต้องอุ้มท้องไปอยู่ชนบทสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ลองอ้อนวอนข้าดูสักหน่อยหรือ เผื่อว่าข้าจะใจดีรับเจ้ามาเป็นฮูหยินและเลี้ยงดูให้อยู่รอด” คนขับรถม้าเอ่ยด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงเองก็แข็งขึ้นจนหานว่านอี้สัมผัสได้
ภายในใจของบุรุษผู้นี้คาดหวังไปไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ เขาคิดว่าหานว่านอี้นั้นไร้ผู้คุ้มกะลาหัว ทั้งหน้าตายังสะสวย ร่างกายสะโอดสะองน่าเชยชม ต่อให้ข่มเหงหรือขืนใจนาง หญิงม่ายตั้งครรภ์เช่นนี้ก็คงไร้หนทางสู้ จึงนึกลองใช้วาจาหว่านล้อมดูก่อน เพราะหากนางยอมแต่โดยดีเขาจะได้ภรรยาแสนสวยมาเคียงคู่กาย
“ไม่! เจ้าอย่าได้แม้แต่จะคิดล่วงเกินข้า แม้ตัวข้าจะถูกปลดจากตำแหน่งฮูหยินเอกแล้ว แต่เจ้าก็ควรจะรู้ไว้ว่าอะไรที่ไม่ควรแตะต้อง” หานว่านอี้ไร้เรี่ยวแรงจะหลีกหนี สิ่งที่นางทำได้ดีตอนนี้คงเป็นการเอ่ยเรียกสติคนตรงหน้า
“เจ้าเองก็ดูถูกข้าสินะ! คิดว่าข้าเป็นเพียงแค่คนขับรถม้า มิคู่ควรกับสตรีสูงส่งเช่นเจ้า!”
“ไม่!! ข้าหาได้คิดเช่นนั้น ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด... ฮึก” หานว่านอี้พยายามกระเสือกกระสนร่างเพื่อหนีจากชายฉกรรจ์ที่กำลังฉุดรั้งข้อมือของนางเอาไว้
ฝ่ามือหยาบกร้านบีบลำคอของนางก่อนจะกดลงบนที่นั่งของรถม้า จนร่างกายของหานว่านอี้นอนแผ่ราบลงไป
“หญิงม่ายที่สวมหมวกเขียวให้แก่สามี คงมิมีผู้ใดต้องตาสนใจแล้ว ตอนนี้สถานะของเจ้ามันต่ำเสียยิ่งกว่าไพร่ในเรือนเสียอีก เช่นนั้นการเป็นเมียข้าก็คงไม่ลำบากลำบนเท่าใดนัก!”
“กรี๊ดดด!!”
เมื่อว่าจบ คนขับรถม้าก็เริ่มทึ้งอาภรณ์ของหานว่านอี้ออกไป นางดิ้นรนต่อสู้ภัยร้ายอย่างสุดกำลัง แต่ก็มิอาจสู้แรงของเขาได้ สติเริ่มล่าถอยพร่าเลือนลงเรื่อย ๆ ฝ่ามือที่กำรอบลำคอของหานว่านอี้เองก็เริ่มจะออกแรงมากขึ้น
แต่แล้วก็เหมือนดั่งฟ้าลิขิตมาให้นี่เป็นวันสุดท้ายของชีวิตนาง เพราะอากาศหายใจเริ่มหมดลง ผนวกกับร่างกายที่อ่อนแอทำให้หานว่านอี้หมดสติคามือของคนขับรถม้า ความเป็นความตายจ่ออยู่ที่คอของนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เฮ้ย! ข้าไม่เกี่ยวนะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่า... ” คนขับรถม้าเมื่อได้สติก็ถึงกับตกใจ เขาไม่คิดว่าการออกแรงบีบเท่านี้จะทำให้หานว่านอี้สิ้นใจได้ จึงลองเอาหูแนบอกและเอามือไปจ่อที่จมูกของนางเพื่อตรวจดู
ไร้สิ้นสัญญาณใด ๆ ที่จะบ่งบอกได้ว่าแม่นางหานยังคงมีชีวิตอยู่ ลมหายใจนั้นสะดุดขาดห้วงและหยุดไป ดวงตาที่พร่ามัวค่อย ๆ หลับลงอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งมันปิดสนิท ความผิดที่คนขับรถม้าได้ก่อทำให้เขานึกหวาดกลัวผลกระทบที่จะตามมา จึงได้คิดจะนำร่างของหานว่านอี้ไปฝังเสียเพื่อกลบเรื่องราวให้สนิท
อย่างไรก็ไร้ผู้คนที่นี่อยู่แล้ว มีเพียงแค่เขาและร่างอันไร้วิญญาณของแม่ม่ายสาว คนขับรถม้าเริ่มต้นแบกร่างของหานว่านอี้ลงจากรถม้า เขารีบร้อนเสียจนลืมตรวจตราให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่แล้วจริง ๆ หลงลืมไปว่าที่ตรงนี้เป็นศาลาที่พักริมทาง มีโอกาสที่คนเดินทางผ่านไปมาจะแวะหยุดพักได้ตลอดเวลา