บท
ตั้งค่า

บทที่ 8

เช้าวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์ทุกอย่างในจวนยังคงเป็นปกติ หลิวหยวนไม่ได้นึกสงสัยว่าอะไรในห้องหนังสือของเขาหายไป จะมีก็เพียงแต่เรื่องที่ฮูหยินหลิวสั่งให้ซิ่วชิงนำภาพวาดของบุตรชายสายตรงของตระกูลต่าง ๆ ในเมือง ที่ยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมายมาให้บุตรสาวของตนได้เลือก

หากนางถูกใจบุตรชายจากตระกูลใด จะได้หาทางส่งคนไปทาบทามเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ถึงเวลานั้นถ้าผู้เป็นสามีไม่เห็นด้วย นางจะเป็นผู้ออกหน้าให้เอง

“คุณหนูรีบลุกขึ้นมาดูภาพวาดพวกนี้เถอะเจ้าค่ะ”

ซิ่วชิงเป็นสาวใช้ที่เติบโตมาพร้อมกับหลิวฟ่านซี นางมีอายุแก่กว่าอีกฝ่ายสองปี เป็นคนที่มีปฏิภาณไหวพริบและฉลาดหลักแหลม ที่ผ่านมานางได้รับโอกาสอยู่ใกล้ชิดคอยรับใช้คุณหนู จึงได้เรียนเขียนอ่าน ทั้งพิณ หมาก กาพย์กลอน อักษรภาพ และเรื่องอื่น ๆ ไปพร้อมกับผู้เป็นนาย

ไม่มีใครทราบชาติกำเนิดที่แน่นอนของสาวใช้ผู้นี้ รู้เพียงแต่ว่าในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนักเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว หลิวหยวนได้จูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เนื้อตัวเปียกปอนคนหนึ่งกลับมาที่จวน ก่อนจะมอบหมายนางให้เป็นข้ารับใช้ส่วนตัวของหลิวฟ่านซี นับแต่นั้นทั้งสองก็อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด

“อืม...ได้สิ”

ร่างบางที่ทำทีเป็นแกล้งหลับ แอบสะกิดเจ้าหมาขนฟูที่นอนหมอบอยู่ข้างกายให้ลุกขึ้นจากเตียง ส่วนตนรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว โดยไม่เรียกหาสาวใช้ให้มาช่วยเหลือแม้แต่คำเดียว

ซิ่วชิงพอเห็นดังนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้าง ที่ผ่านมาคุณหนูไม่เคยทำเรื่องพวกนี้ด้วยตนเองมาก่อน เวลาจะลุกจะนั่งแต่ละทีล้วนแต่เชื่องช้านุ่มนวล ไม่ได้มีท่าทางคล่องแคล่วว่องไวเหมือนเช่นอย่างที่เห็น

หรือเป็นเพราะคุณหนูจะได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจมาก จนเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน?!

“คุณหนูอย่าได้เสียใจไปเลยนะเจ้าคะ ฮูหยินรับปากแล้วว่าจะให้ท่านเป็นผู้เลือกคู่ครองด้วยตนเอง ในเมืองลู่หยาง คงมีคุณหนูเป็นสตรีคนแรกเลยก็ว่าได้ ส่วนผู้ชายอย่างคุณชายไป๋ที่ตาไร้แวว ไม่คู่ควรกับท่านเลยแม้แต่น้อย”

ซิ่วชิงรีบกล่าวปลอบใจ ที่ผ่านมาคุณหนูของตนต้องจมจ่อมอยู่กับทุกข์ระทม วัน ๆ เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ตัดพ้อกับชะตาชีวิตที่แสนจะอาภัพของตนเอง อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจและตั้งความหวังเอาไว้กับคุณชายไป๋เป็นอย่างมาก พอผิดหวังจึงไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้

แต่แล้วจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์โศกเศร้าใด ๆ ทั้งสิ้น

“ข้าดูเหมือนคนที่กำลังเสียใจเพราะความรักอย่างนั้นหรือ?”

ซิ่วชิงมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาชั่วครู่ พลางส่ายหน้า “ไม่เหมือนเจ้าค่ะ”

ความจริงตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา คุณหนูของตนก็ไม่ได้มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากเหมือนคนที่เจ็บปวดในความรัก ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่แม้แต่จะพูดถึงคุณชายไป๋ผู้นั้น ก่อนหน้านี้ซิ่วชิงยังคิดไม่ตกว่าควรพูดจาปลอบประโลมคุณหนูเช่นไร แต่กลายเป็นว่านางไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลยจริง ๆ

“ไหน...ส่งภาพวาดพวกนั้นมาให้ข้าดูสิ” หลิวฟ่านซีลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้แล้วสั่งให้ซิ่วชิงนำภาพเหมือนของชายหนุ่มมาวางไว้บนโต๊ะตรงกลางห้อง นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนแต่ประการใด

“นี่เจ้าค่ะ ฮูหยินสั่งให้ช่างฝีมือวาดภาพเหมือนของบรรดาคุณชายที่มีชาติตระกูลมาให้คุณหนูลองพิจารณา หากคุณหนูถูกใจคุณชายตระกูลใด ข้าจะรีบไปเรียนให้ฮูหยินทราบทันที”

หลิวฟ่านซีพยักหน้า เลือกสุ่มหยิบหนึ่งในรูปวาดขึ้นมาดูเล่นฆ่าเวลา ส่วนเฉินห่าวกระโดดขึ้นมานั่งลงบนเก้าอี้ทางด้านข้าง ยื่นใบหน้ากลมที่เต็มไปด้วยขนฟูฟ่องมาขอดูด้วย

ซิ่วชิงเห็นดังนั้น ได้แต่คิดในใจว่าเสี่ยวเป่าช่างเป็นสุนัขที่แสนรู้จริง ๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเสี่ยวเป่าก็อยู่ข้างกายคุณหนูของตนมาโดยตลอด เป็นเพราะคุณหนูใจดีเก็บมันมาเลี้ยงตั้งแต่แรกเกิด แต่หลังจากที่มันฟื้นขึ้นมา ซิ่วชิงก็รู้สึกว่าเจ้าสุนัขตัวนี้ฉายแววฉลาดเฉลียวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“นี่มันอะไรกัน...”

คิ้วเรียวของหลิ่วฟ่านซีขมวดเข้าหากันมุ่น อ้าปากค้าง สายตาจับจ้องภาพวาดในมืออย่างนึกสงสัย แน่ใจว่านี่วาดได้เหมือนตัวจริงแล้วอย่างนั้นหรือ?

ทว่าคำพูดในประโยคถัดมาของสาวใช้ ทำให้คิ้วงามขมวดเป็นปมแน่นยิ่งกว่าเดิม

“คุณหนูช่างตาแหลมยิ่งนัก ท่านนี้คือคุณชายตู้เสิ่นหลิง บุตรชายคนสุดท้องของจวนตู้กั๋วกงเจ้าค่ะ” ซิ่วชิงรีบสาธยายสรรพคุณของบุรุษในภาพด้วยใบหน้าระรื่น

“คุณชายตู้?”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายตู้จัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงาม ผู้มีความเพียบพร้อมด้วยความสามารถ มีนิสัยน่าคบหาเข้ากับคนง่าย เขามีความเชี่ยวชาญในการแต่งโครงกลอนได้อย่างซึ้ง บทกวีของเขาเป็นที่เลื่องลือในหมู่บัณฑิตในเมืองหลวง...”

ทว่ายังไม่ทันที่ซิ่วชิงจะทันได้บรรยายจนจบ คนฟังก็รีบยกมือให้หยุดพูดทันที นางไม่ได้อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณชายตู้อะไรนี่เลยสักนิด

“บอกทีสิว่า เจ้าดูยังไงถึงเห็นบุรุษในภาพวาดนี้หน้าตาดีได้?”

สิ่งที่หลิวฟ่านซีเห็นคือลายเส้น ที่ใช้พู่กันลากไปลากมาแบบภาพเขียนโบราณ แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของผู้วาด แต่ไม่อาจทำให้นางสามารถจินตนาการถึงใบหน้าที่แท้จริงของคนในภาพได้เลยแม้แต่น้อย

“โธ่...คุณหนู ก็ดูจากเส้นวาดของโครงหน้าที่สมสัดส่วน คิ้วเป็นคิ้ว ปากเป็นปาก จมูกคมสันได้รูป และแววตาที่วาดสะท้อนอารมณ์ออกมายังไงล่ะเจ้าคะ”

“...”

“โฮ่ง!”

เฉินห่าวอยากจะทำเสียงกระแอมไอเพื่อเตือนสติหลิวฟ่านซี ผู้ที่ไม่เข้าใจในศิลปะการวาดภาพแบบสมัยก่อน แต่ทำได้เพียงส่งเสียงเห่าพลางใช้ขาหน้าชี้ไปยังภาพอื่น ๆ ที่กองเอาไว้ทางด้านข้าง

“ก็ได้ ๆ เดี๋ยวข้าลองเอาภาพอื่นมาเปรียบเทียบดู...”

หลิวฟ่านซีพูดพลางหยิบสุ่มภาพของชายหนุ่มที่กองสุมเอาไว้บนโต๊ะขึ้นมาอีกภาพ กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้นางเข้าใจมาตรฐานความงามในยุคนี้ได้เลยจริง ๆ

ภาพที่เห็นคือลายเส้นที่เรียบง่าย เส้นตาเป็นแค่ขีด ๆ เส้นจมูกบาง ใบหน้ากลมดุจดังไข่ต้ม บุรรุษแต่ละคนในรูปล้วนมือไม้อ่อนช้อย หรือบางทีอาจเป็นนางเองที่ไม่เข้าใจในสุนทรียภาพของการวาดรูปในยุคโบราณ เพราะแต่ละภาพล้วนแล้วทำให้อยากจะยกขาขึ้นมาก่ายหน้าผากเสียเหลือเกิน

“โธ่ คุณหนู ภาพพวกนี้วาดโดยจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังเชียวนะเจ้าคะ”

“แต่ข้าคิดว่าพวกเขาหน้าตาเหมือนกันหมดทุกคน ดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร ว่าแต่เจ้าพอจะรู้จักบุรุษที่มีนามว่าหานซิงเยว่หรือไม่?”

ซิ่วชิงมีสีหน้าตกใจยามได้ยินชื่อที่คุณหนูเอ่ยถามออกมา “คุณหนูหมายถึง...ท่านแม่ทัพหานซิงเยว่หรือเจ้าคะ?”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel